window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag(){dataLayer.push(arguments);} gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-HT69D45H8X');
ระวังทำร้ายลูกเพราะ PROJECTION
เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว

ระวังทำร้ายลูกเพราะ Projection!

รู้จักกลไกการป้องกันทางจิต (Defense Mechanisms) แบบ ‘โทษคนอื่น’ จากหนังอนิเมชั่นครอบครัวเรื่อง Encanto (เมืองเวทมนตร์คนมหัศจรรย์) 


เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินหนังอนิเมชั่นยอดฮิตที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมชาวโคลัมเบียอย่าง Encanto (2021) หรือ เมืองเวทมนตร์คนมหัศจรรย์ กันมาบ้าง เพราะนอกจากว่ามันจะได้รับรางวัลใหญ่อย่าง Best Animated Feature ของ The Academy Awards หรือ Oscars แล้วนั้น หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังครอบครัวที่ดูแล้วอบอุ่นหัวใจ ซาบซึ้งเสียจนน้ำตาไหลพรากไม่หยุดเพราะความรักของคนในครอบครัวใหญ่กว่าหลายชีวิตมันเอ่อล้นออกมานอกจอมากเหลือเกิน


อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ คุณนายข้าวกล่อง สังเกตเห็นและอยากจะเล่ามาก ๆ นอกเหนือจากประสบการณ์ความอิ่มเอมใจนี้ ก็คือต้นตอของเรื่องราวที่ทำให้เกิดรอยร้าวในครอบครัว ซึ่งหลัก ๆ แล้วมีอิทธิพลมาจากคุณยายอาบัวลา (Abuela) หัวหน้าของครอบครัว เพราะมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก และมันมีคำอธิบายบางอย่างตามหลักจิตวิทยาที่ช่วยทำให้เราเข้าใจถึงความเปราะบางของครอบครัวนี้ได้มากขึ้น เพื่อเอาไว้เป็น WatchAndLearn สำหรับคุณพ่อคณแม่ นำไปปรับใช้กับตนเองและการเลี้ยงลูกต่อไป


[เนื้อหาต่อจากนี้อาจมีการสปอยล์เกิดขึ้น]

Encanto เล่าถึงเรื่องราวของครอบครัวมาดรีกาล ครอบครัวผู้มีพลังวิเศษซึ่งได้รับมาจากปาฎิหารย์ของเหตุการณ์เลวร้าย ณ คืนหนึ่งของคุณยายอาบัวลา หัวหน้าครอบครัวคนปัจจุบัน ที่ตนกับสามีและลูกเล็กอีก 3 คนกำลังหนีไฟไหม้จากการทำสงครามออกมาจากเมืองบ้านเกิด ซึ่งระหว่างที่ตนกับสามี รวมถึงผู้คนในเมืองกำลังตามพวกเขาหนีออกมานั้น ได้มีกลุ่มทหารผู้เป็นศัตรูวิ่งตามมาเจอ ทำให้สามีของเธอตัดสินใจเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องเธอและพลเมืองที่เหลือ เหตุการณ์นั้นเลยทำให้คุณยายใจสลาย แต่ในระหว่างที่เรื่องราวอันแสนเศร้าและโหดร้ายได้เกิดขึ้น ก็ดันกลับมีปาฎิหารย์บางอย่างเกิดขึ้น เพราะดวงเทียนที่หล่อนใช้ถือนำทางมาระหว่างการหนีได้ส่องสว่างโชนด้วยพลังแห่งเวทมนตร์ และได้เนรมิตเมืองใหม่อันสวยงามขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ท่ามกลางเนินเขาอันสูงชันนั้น รวมถึงบ้านใหม่ของเธอที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์เพราะแต่ละส่วนของบ้านมีชีวิตและช่วยเหลือบ้านของเธอ ทำให้เธอและชาวเมืองมีบ้านใหม่ที่ปลอดภัยและสวยงาม แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องกลายเป็นผู้นำประจำเมืองไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะกลายเป็นว่าเธอคือผู้ถือครองเวทมนตร์ และพลังแห่งเวทมนตร์นี้ก็ได้ส่งต่อไปให้ลูก หลาน และเหลนของเธอด้วย ซึ่งเธอก็เลือกที่จะให้สมาชิกในครอบครัวของเธอคอยช่วยเหลือรับใช้ชุมชนพลเมืองทั้งหลายอย่างสุดกำลัง เพื่อปกป้องครอบครัว ชุมชน และปกป้องพลังเวทมนตร์นี้ให้ยังคงอยู่ต่อไป เป็นอนุสรณ์และความภาคภูมิใจของครอบครัว


แต่ก็ไม่ใช่ว่าลูกหลานของเธอจะมีพลังเวทมนตร์ไปเสียหมด! เพราะมิราเบล หลานสาวผู้น่ารัก ตัวเอกของเรื่องราวนี้ ดันเป็นลูกหลานเพียงคนเดียวที่ไม่มีเวทมนตร์เพราะดวงเทียนดันไม่ได้มอบพลังแห่งเวทย์แก่เธอ ซึ่งคุณยายอาบัวลาก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรดวงเทียนถึงทำเช่นนั้น สิ่งนั้นเลยเป็นปมอยู่ในใจมิราเบลเรื่อยมา เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ได้รับพลัง เธอก็รู้สึกแย่มากเช่นกันที่การไร้ซึ่งพลังของเธอทำให้เธอไม่สามารถช่วยเหลือครอบครัว หรือช่วยเหลือชุมชนของเธอได้เหมือนกับพี่น้องคนอื่น ๆ และที่สำคัญที่สุด เธอรู้สึกแย่กับตัวเองมากเพราะเธอเชื่อว่าการไม่ได้รับซึ่งพลังแห่งเวทย์นี้ ได้ทำลายความหวังของคุณยายอาบัวลาสุดที่รักของเธอ ทำให้คุณยายเสียใจ และไม่ได้สร้างความภาคภูมิใจแก่ครอบครัวเลยแม้แต่น้อย


ปมนี้ติดใจอยู่ในตัวมิราเบลเรื่อยมา จนวันหนึ่งเธอก็ดันเห็นโอกาสที่จะสามารถช่วยเหลือครอบครัวนี้ได้เพื่อทำให้ครอบครัวภูมิใจ หลังจากที่เธอเห็นรอยร้าวของบ้านเกิดขึ้นในวันพิธีมอบพลังเวทมนตร์ให้กับอันโตนิโอ ลูกชายพี่สาวแม่ (aka น้องชายสุดที่รักของเธอ!) และได้ทราบว่าลุยซ่า พี่สาวต่างแม่ของเธอสูญเสียพลังไปหลังจากเหตุการณ์นั้น ซึ่งการผจญภัยนี้ทำให้เธอต้องกัดฟันเข้าไปพูดคุยกับคนในบ้านมากขึ้น รวมถึงได้เจอคุณลุงบรูโน่ หนึ่งในสมาชิกในบ้านที่หายตัวไปหลังจากพิธีรับมอบพลังวิเศษของเธอเพราะเห็นนิมิตเลวร้ายหลังจากพิธีรับมอบพลังด้วย ซึ่งจากสิ่งนี้มันทำให้เธอได้รู้จักพวกเขาลึกซึ้งขึ้น เธอเห็นว่าแม้สมาชิกทุกคนจะมีพลังวิเศษ แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลยเพราะรู้สึกกดดันที่ต้องแบกรับหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อสังคมและบ้านเมือง ตามที่คุณยายอาบัวลาได้มอบไว้ และดูเหมือนว่าสิ่งนั้นดูจะเป็นต้นตอของรอยร้าวที่เกิดขึ้น


และก็เข้าสู่ฉากสำคัญของต้นเรื่องบทความนี้! นั่นก็คือฉากที่มิราเบลปะทะกับคุณยายอาบัวลา หลังจากที่มิราเบลได้ปลดล็อคพี่สาวต่างแม่ที่เคยไม่ชอบหน้ากันในอดีตอีกคนหรืออิซาเบลลา ให้ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธออยากเป็น และได้สัมผัสถึงความสุขที่แท้จริงกับการปล่อยภาระความเป็น ‘ผู้หญิงที่เพอร์เฟค’ ของครอบครัวมาดรีกาลลง ซึ่งนั่นทำให้ลุยซ่ามีความสุขมาก แต่คุณยายกลับมองว่ามิราเบลได้สร้างหายนะแก่ครอบครัวแทน และได้ต่อว่ามิราเบลอย่างรุนแรง


“ รอยร้าวของบ้าน มันเกิดขึ้นเพราะหล่อน คุณน้าบรูโน่หนีออกจากบ้านไปก็เพราะหล่อน ลุยซ่าสูญเสียพลัง อิซาเบลลาควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เป็นเพราะหล่อน!”


“ยายไม่รู้หรอกนะว่าที่หนูไม่ได้รับพลังวิเศษเป็นเพราะอะไร แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้หนูทำร้ายครอบครัวแบบนี้!”


เป็นคำพูดที่รุนแรงไม่ใช่ย่อยเลย แถมพอยิ่งออกจากปากคุณยายคนหนึ่งสู่หลานรักที่ก็ทั้งรู้เรื่องปมของหลานตนเองอยู่แล้ว มันคงทำให้มิราเบลคงรู้สึกเจ็บปวดไปไม่น้อยเลย ทั้ง ๆ ที่จากที่เราเห็นกัน เราก็สัมผัสได้ถึงความรักของคุณยายที่มีต่อมิราเบลและครอบครัวว่ามันมีอยู่จริง ๆ นะ....


แต่เพราะอะไรคำพูดอันแสนโหดร้ายนี้ถึงหลุดออกมาจากปากคุณยายสุดที่รักได้ล่ะ?


Projection หรือหากแปลตรง ๆ เลยที่แปลว่า ‘การฉายภาพ’ นอกจากมันจะหมายถึงการฉายภาพลงหน้าจอแล้ว Projection ยังถือว่าเป็น กลไกป้องกันทางจิต (Defense Mechanisms) รูปแบบหนึ่งทางจิตวิทยาด้วย ซึ่งมันเป็นกลไกที่สามารถเกิดขึ้นได้ในมนุษย์ทุกคน เพื่อปกป้องเราจากความเจ็บปวด ความกังวล ความโหดร้าย หรือความรู้สึกแย่ต่าง ๆ เพื่อสร้างสมดุลของความดีและความไม่ดีของตัวเรา ทำให้เรายังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ จากการ reaffirm หรือสร้างความมั่นใจให้ตนเองอีกครั้งว่าเราจัดการตัวเองได้ดี


ดังเช่นในตัวอย่างของคุณยายอาบัวลา ที่จริง ๆ แล้วจากที่เราทราบประวัติของเธอมา เธอต้องฝ่าฟันเรื่องราวร้าย ๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงคราม เรื่องสามีตาย รวมถึงเรื่องการต้องแบกรับหน้าที่หัวหน้าครอบครัว และเป็นผู้ดูแลชุมชนเพราะเป็นผู้ถือเวทมนตร์วิเศษหรือ ‘ปาฏิหารย์’ นี้อีก ซึ่งมันก็ดูจะสร้างความเครียด ความกังวลใจ และความสั่นคลอนทางใจต่อเธอไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเธอก็ยังรู้อยู่เต็มอกว่า เธอยังคงไม่พร้อมกับการจะมีชีวิตแบบนี้สักนิด


และที่สำคัญที่สุด ก็คือเธอก็ยังคง ‘เสียใจและรู้สึกผิด’ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเธอมองว่าเหตุการณ์เลวร้ายนั้น จะไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าเธอตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง สิ่งนี้เลยยังคงติดอยู่ในใจเธอเรื่อยมา เป็นบาดแผลที่ยังไม่หายแม้จะผ่านมานานสักเพียงใดก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ชะตากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่แต่ไหน มันล้วนเป็นเพราะความผิดของเธอแต่เพียงผู้เดียว


แต่ทำไงได้....มันก็ต้องเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไป! จิตใจของเราก็เลยสร้างเจ้ากลไกอัตโนมัตินี้พยายามช่วยขจัดความสั่นคลอนทางใจตรงนั้นออกไปเพื่อทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ด้วยวิธีทางใดก็ตาม ซึ่ง Projection ก็คือหนึ่งในวิธีการปกป้องใจเราจากความรู้สึกผิดและเจ็บปวดนั้น ด้วยการนำความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดนั้น มาฉายลงที่คนอื่นแทน (aka เหมือนโทษคนอื่น) เพื่อทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น (ว่าเราไม่ได้ทำสิ่งนั้น) ทำให้ความกังวลและสั่นคลอนทางใจนั้นหายไป เพื่อจะได้เดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณยายได้พูดจารุนแรงกับมิราเบลแบบนั้นนั่นเอง


แต่จากที่เราเห็น แม้ Defense Mechanisms นี้จะเกิดขึ้นด้วยเจตนาที่ดี แต่การปกป้องตัวเองในรูปแบบนี้ มันก็ดูไม่ใช่การขจัดความกังวลที่ยั่งยืนสักเท่าไหร่ แถมมันสามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับคนอื่น โดยเฉพาะกับคนที่เรารักอย่างคนในครอบครัว หรือกับพ่อ ๆ แม่ ๆ อย่างพวกเรา เราก็อาจจะเผลอฉายความรู้สึกผิดนี้ไปให้ลูกอย่างไม่ตั้งใจได้เหมือนกัน เพราะบางทีเราก็เครียด ต้องแบกรับหน้าที่รับผิดชอบหลาย ๆ อย่างไปด้วยกัน จนทำให้สุดท้ายแล้วเวลาเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับลูก เรามักจะโยงว่ามันเป็นเพราะเราได้ง่าย จนอาจจะควบคุมความสั่นคลอนทางใจที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เหมือนกัน 


แล้วเราจะยังยั้งการเกิด Projection นี้ได้อย่างไรกัน? (ในมุมมองของคุณนายข้าวกล่อง)


ให้อภัยตัวเอง – สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยากก็จริง แต่เราเชื่อเหลือเกินว่า การให้อภัยตัวเองมันช่วยทำให้ภาระความรู้สึกผิดที่เราแบกไว้ มันค่อย ๆ เบาลงได้จริง ๆ ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้ได้จากการลองหันกลับไปมองถึงเจตนาตั้งต้นของเรา ที่เราเชื่อว่า ‘ทุกคนคงไม่มีใครอยากให้เรื่องแย่ ๆ แบบนี้เกิดขึ้น’ (aka เรามีเจตนาที่ดี) ซึ่งสิ่งนี้แหละเป็นเหตุผลอันเหมาะสมอย่างยิ่งที่เราควรจะมอบ ‘โอกาสครั้งใหม่’ แก่ตัวเอง และปล่อยวางกับความรู้สึกผิดนั้น เพราะเนื้อแท้ข้างในแล้ว เราเป็นคนจิตใจดีมาก ๆ เลยนะ


การพูดคุย – ในฉากระหว่างคุณยายอาบัวลากับมิราเบล หลังจากที่คุณยายตัดสินใจระบายความเจ็บปวดในใจให้มิราเบลฟังแล้วนั้น มิราเบลก็เข้าใจคุณยายมากขึ้น ทำให้เธอยกโทษคุณยายทุกอย่าง และช่วยยืนยันถึงสิ่งที่คุณยายทำว่ามันดีแล้ว รวมไปถึงมอบการสนับสนุนทางสังคม (social support) ต่อคุณยายด้วย เพื่อทำให้คุณได้รับ sense ของความรัก ความช่วยเหลือ และความอบอุ่นจากสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น ด้วยเหตุเช่นนี้เราเลยมองว่าการได้พูดคุยกับใครสักคนที่เราไว้ใจ มันก็อาจจะช่วยทำให้เราได้รับการสนับสนุนทางสังคม ได้ระบาย ได้กำลังใจ หรือได้รับพลังบวกบางอย่างกลับมาฮีลความรู้สึกผิดของเรานี้ได้เหมือนกัน


บทความโดย คุณนายข้าวกล่อง

และหากผู้ปกครองท่านใดอยากได้แนวทางการปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อทำให้เราและลูกอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายและเป็นสุขมากขึ้น สามารถเข้ามาศึกษากันเพิ่มได้ที่ www.netpama.com ได้เลยค่ะ

NET PaMa