วิธีสอนลูกให้รู้จักการจัดการอารมณ์ตนเอง
เมื่อ 15 ชั่วโมงที่แล้ว
วิธีสอนลูกให้รู้จักการจัดการอารมณ์ตนเอง
เพื่อไม่ให้ลูกต้องตกเป็นเหยื่อ หรือกลายเป็นปัญหาสังคม
บทความโดย #มัมมี่Bชวนเมาท์
.
ยิ่งดูข่าวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่กังวลใจอย่างมาก ผู้คนใจร้อนกันมากขึ้น อดทนกันน้อยลง ใช้อารมณ์และความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหากันมากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่า “ความรุนแรง” เป็นสิ่งที่ทุกคนรับไม่ได้
.
แต่เราก็เห็นผู้ใหญ่ด่าเด็กหยาบคาย ทุบตีใช้ความรุนแรงกับเด็ก โดยแก้ตัวและให้ความชอบธรรมกับตัวเองว่า ทำเพื่อสั่งสอน
.
เด็กหลายคนแกล้งเพื่อน ทำข้าวของผู้อื่นเสียหายโดยใช้เหตุผลว่าก็แค่เด็กเล่นซน
.
ผู้คนมากมาย ตำหนิ ด่าทอผู้กระทำผิดลามไปถึงครอบครัวของพวกเขา มากกว่าการเรียนรู้เพื่อถอดบทเรียนจากการกระทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก วิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกันด้วยความรุนแรงที่ไม่แพ้กัน
.
หากเด็กๆ ต้องเติบโตท่ามกลางผู้คนในสนามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ตอบสนองอารมณ์ของตนเองด้วยความรุนแรงเป็นวงจรเช่นนี้ แน่นอนว่าเด็กๆ จะซึมซับและเคยชิน โดยมองว่าความรุนแรงคือเรื่องปกติ
.
สุดท้ายจะต้องมีคนมากมายแค่ไหนที่ต้องตกป็นเหยื่อของวงจรความรุนแรงนี้ ?
.
เพื่อไม่ให้ลูกของเราต้องกลายเป็นเหยื่อ หรือกลายเป็นปัญหาสังคม การสอนให้ลูกรู้จักการจัดการอารมณ์ของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการจัดการอารมณ์ ไม่ได้หมายความว่า ต้องห้ามไม่ให้ลูกรู้สึก หรือสอนให้ลูกเก็บกดอารมณ์ของตนเองไว้
.
แต่เป็นการสอนให้ลูกรู้เท่าทันและเข้าใจในอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้น สามารถควบคุมและตอบสนองต่ออารมณ์ของตนเองในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
.
ซึ่งพ่อแม่สามารถสอนให้ลูกเข้าใจและจัดการอารมณ์ตนเองได้ในทุกๆ วัน เริ่มด้วยการยอมรับในทุกอารมณ์และความรู้สึกของลูก และสอนให้ลูกเข้าใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้น
.
”แม่เข้าใจว่า ลูกร้องไห้เพราะเสียใจมากที่เพื่อนล้อ”
“ลูกหน้าแดง กำมือแน่นแบบนี้ เพราะโกรธที่น้องเดินเหยียบของลูกจนพังใช่ไหม”
.
ในขณะที่ลูกกำลังอยู่ในอารมณ์ที่รุนแรง สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ไม่ใช่การห้ามไม่ให้ลูกรู้สึก หรือสอนวิธีแก้ปัญหา แต่เป็นการช่วย #โอบอุ้มทุกความรู้สึกของเขา ทำให้ลูกใจเย็นลงก่อน เพื่อให้ลูกดึงสติกลับมาแก้ปัญหาในแต่ละสถานการณ์อย่างเหมาะสมต่อไปได้
.
สอนให้ลูกรู้ว่า เวลาอารมณ์ขึ้นอย่าเพิ่งทำอะไรให้หยุดตัวเองก่อนด้วยวิธีที่ลูกเข้าใจได้ง่ายๆ เช่น
”ลูกลองหยุดพัก หายใจเข้าออกลึกๆ นับ 1-10 ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ลูกนับต่อไปอีกทีละ 10 นะ”
“ระบายสีแทนความโกรธใส่กระดาษแผ่นนี้ให้แม่ดูหน่อย แม่อยากรู้ว่าลูกโกรธแค่ไหน”
.
เมื่อลูกควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ค่อยสอนให้ลูกเข้าใจว่า ทุกอารมณ์และความรู้สึกไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบไม่ใช่สิ่งผิด แต่เขาต้องแยกอารมณ์และความรู้สึกออกจากการกระทำให้ได้
.
ให้ลูกได้ทบทวนว่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีผลอย่างไร เขาสามารถจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกนี้ได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง
.
”ลูกโกรธได้ แต่เราจะไม่ทำร้ายคนอื่น ลูกคิดว่าเวลาโกรธ เราจะทำอะไรแทนได้บ้าง”
.
สุดท้ายแต่สำคัญที่สุด คือ การที่พ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวต้อง #เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กในการจัดการอารมณ์ของตนเอง
.
และไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เราทุกคน คือคนธรรมดาที่ทำผิดพลาดได้เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทบทวนการกระทำของตนเอง ยอมรับผิด ขอโทษอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ รับผิดชอบทุกผลจากการกระทำของตนเอง เรียนรู้ เปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
.
ให้อภัยกันในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น การให้อภัยไม่ได้หมายถึง การยอมหรือปล่อยผ่านในการกระทำที่ผิด แต่เป็นการให้โอกาสกับผู้ที่ทำผิดได้รับผิดชอบผลจากการกระทำ แก้ไขในความผิดพลาดให้ถูกต้อง ทบทวนสิ่งที่เกิดเพื่อเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้พวกเขาไปทำผิดกับผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำอีก
.
Net PAMA ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่ดี สร้างลูกที่มีความเข้มแข็งในจิตใจ มีวินัยภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว สามารถ #เข้าเรียนออนไลน์ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในคอร์สจัดเต็ม ซึ่งจัดทำโดยทีมจิตแพทย์เด็กและนักจิตวิทยา ที่ https://www.netpama.com/ มีทั้งคลิปวีดิโอเรื่องราว ตัวอย่างคำพูดที่สามารถนำไปใช้เลยได้จริง
#NetPAMA #เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #เลี้ยงลูกเชิงบวก
เพื่อไม่ให้ลูกต้องตกเป็นเหยื่อ หรือกลายเป็นปัญหาสังคม
บทความโดย #มัมมี่Bชวนเมาท์
.
ยิ่งดูข่าวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่กังวลใจอย่างมาก ผู้คนใจร้อนกันมากขึ้น อดทนกันน้อยลง ใช้อารมณ์และความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหากันมากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่า “ความรุนแรง” เป็นสิ่งที่ทุกคนรับไม่ได้
.
แต่เราก็เห็นผู้ใหญ่ด่าเด็กหยาบคาย ทุบตีใช้ความรุนแรงกับเด็ก โดยแก้ตัวและให้ความชอบธรรมกับตัวเองว่า ทำเพื่อสั่งสอน
.
เด็กหลายคนแกล้งเพื่อน ทำข้าวของผู้อื่นเสียหายโดยใช้เหตุผลว่าก็แค่เด็กเล่นซน
.
ผู้คนมากมาย ตำหนิ ด่าทอผู้กระทำผิดลามไปถึงครอบครัวของพวกเขา มากกว่าการเรียนรู้เพื่อถอดบทเรียนจากการกระทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก วิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกันด้วยความรุนแรงที่ไม่แพ้กัน
.
หากเด็กๆ ต้องเติบโตท่ามกลางผู้คนในสนามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ตอบสนองอารมณ์ของตนเองด้วยความรุนแรงเป็นวงจรเช่นนี้ แน่นอนว่าเด็กๆ จะซึมซับและเคยชิน โดยมองว่าความรุนแรงคือเรื่องปกติ
.
สุดท้ายจะต้องมีคนมากมายแค่ไหนที่ต้องตกป็นเหยื่อของวงจรความรุนแรงนี้ ?
.
เพื่อไม่ให้ลูกของเราต้องกลายเป็นเหยื่อ หรือกลายเป็นปัญหาสังคม การสอนให้ลูกรู้จักการจัดการอารมณ์ของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการจัดการอารมณ์ ไม่ได้หมายความว่า ต้องห้ามไม่ให้ลูกรู้สึก หรือสอนให้ลูกเก็บกดอารมณ์ของตนเองไว้
.
แต่เป็นการสอนให้ลูกรู้เท่าทันและเข้าใจในอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้น สามารถควบคุมและตอบสนองต่ออารมณ์ของตนเองในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
.
ซึ่งพ่อแม่สามารถสอนให้ลูกเข้าใจและจัดการอารมณ์ตนเองได้ในทุกๆ วัน เริ่มด้วยการยอมรับในทุกอารมณ์และความรู้สึกของลูก และสอนให้ลูกเข้าใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้น
.
”แม่เข้าใจว่า ลูกร้องไห้เพราะเสียใจมากที่เพื่อนล้อ”
“ลูกหน้าแดง กำมือแน่นแบบนี้ เพราะโกรธที่น้องเดินเหยียบของลูกจนพังใช่ไหม”
.
ในขณะที่ลูกกำลังอยู่ในอารมณ์ที่รุนแรง สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ไม่ใช่การห้ามไม่ให้ลูกรู้สึก หรือสอนวิธีแก้ปัญหา แต่เป็นการช่วย #โอบอุ้มทุกความรู้สึกของเขา ทำให้ลูกใจเย็นลงก่อน เพื่อให้ลูกดึงสติกลับมาแก้ปัญหาในแต่ละสถานการณ์อย่างเหมาะสมต่อไปได้
.
สอนให้ลูกรู้ว่า เวลาอารมณ์ขึ้นอย่าเพิ่งทำอะไรให้หยุดตัวเองก่อนด้วยวิธีที่ลูกเข้าใจได้ง่ายๆ เช่น
”ลูกลองหยุดพัก หายใจเข้าออกลึกๆ นับ 1-10 ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ลูกนับต่อไปอีกทีละ 10 นะ”
“ระบายสีแทนความโกรธใส่กระดาษแผ่นนี้ให้แม่ดูหน่อย แม่อยากรู้ว่าลูกโกรธแค่ไหน”
.
เมื่อลูกควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ค่อยสอนให้ลูกเข้าใจว่า ทุกอารมณ์และความรู้สึกไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบไม่ใช่สิ่งผิด แต่เขาต้องแยกอารมณ์และความรู้สึกออกจากการกระทำให้ได้
.
ให้ลูกได้ทบทวนว่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีผลอย่างไร เขาสามารถจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกนี้ได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง
.
”ลูกโกรธได้ แต่เราจะไม่ทำร้ายคนอื่น ลูกคิดว่าเวลาโกรธ เราจะทำอะไรแทนได้บ้าง”
.
สุดท้ายแต่สำคัญที่สุด คือ การที่พ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวต้อง #เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กในการจัดการอารมณ์ของตนเอง
.
และไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เราทุกคน คือคนธรรมดาที่ทำผิดพลาดได้เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทบทวนการกระทำของตนเอง ยอมรับผิด ขอโทษอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ รับผิดชอบทุกผลจากการกระทำของตนเอง เรียนรู้ เปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
.
ให้อภัยกันในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น การให้อภัยไม่ได้หมายถึง การยอมหรือปล่อยผ่านในการกระทำที่ผิด แต่เป็นการให้โอกาสกับผู้ที่ทำผิดได้รับผิดชอบผลจากการกระทำ แก้ไขในความผิดพลาดให้ถูกต้อง ทบทวนสิ่งที่เกิดเพื่อเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้พวกเขาไปทำผิดกับผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำอีก
.
Net PAMA ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่ดี สร้างลูกที่มีความเข้มแข็งในจิตใจ มีวินัยภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว สามารถ #เข้าเรียนออนไลน์ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในคอร์สจัดเต็ม ซึ่งจัดทำโดยทีมจิตแพทย์เด็กและนักจิตวิทยา ที่ https://www.netpama.com/ มีทั้งคลิปวีดิโอเรื่องราว ตัวอย่างคำพูดที่สามารถนำไปใช้เลยได้จริง
#NetPAMA #เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #เลี้ยงลูกเชิงบวก
เน็ตป๊าม้า ขอแนะนำหลักสูตรออนไลน์ สอนเทคนิคเชิงบวกในการปรับพฤติกรรมเด็ก
คอร์สเร่งรัด
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่มีพื้นฐานการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกอยู่แล้ว
แต่ต้องการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเด็กที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
คอร์สจัดเต็ม
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเรียนรู้และฝึกใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็ก
อย่างเป็นขั้นบันได เพื่อเตรียมพร้อมที่จะนำไปรับมือกับปัญหาพฤติกรรมเด็ก
อย่างมั่นใจ