ทำไม ‘คุณครู’ ถึงควรรู้จักทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวก (เอาไว้บ้าง)? บทความการประยุกต์หลักการเลี้ยงลูกเชิงบวกกับวิชาชีพอื่น ๆ
เมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว
ทำไม ‘คุณครู’ ถึงควรรู้จักทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวก (เอาไว้บ้าง)? บทความการประยุกต์หลักการเลี้ยงลูกเชิงบวกกับวิชาชีพอื่น ๆ โดย #คุณนายข้าวกล่อง
.
เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เสพย์คอนเทนต์จากเพจของเรามักจะรับบทเป็น ‘คุณพ่อ คุณแม่ หรือเป็นผู้ปกครอง’ ของเด็กน้อยคนใดคนหนึ่ง แต่ในวันนี้ #คุณนายข้าวกล่อง อยากจะนำความรู้นี้มาประยุกต์ต่อยอดเพื่อนำไปใช้กับเรื่องอื่น ๆ บ้างนอกเหนือจากการเลี้ยงลูกสักหน่อย เพราะส่วนตัวเชื่อว่าความรู้จากการเลี้ยงลูกเชิงบวกนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตในด้านอื่น ๆ อีกมากมายเหลือเกิน เพราะมันไม่ใช่ทำให้เรามีความรู้ว่า ‘เราควรจะดีลกับลูกเราอย่างไรอย่างเหมาะสม’ เพียงอย่างเดียว แต่มันทำให้เรารู้ว่า ‘เราควรจะดีลกับมนุษย์หรือเด็กคนหนึ่งอย่างไรอย่างเหมาะสม’ เพื่อทำให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อ หรือทำให้เราสามารถทำงานในพาร์ทของเราได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
ซึ่งวันนี้ #positiveparentingfornonparents เราจะขอประเดิมนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการทำงานสายอาชีพหนึ่ง ที่จำเป็นต้องอยู่กับเด็ก ๆ แทบจะตลอดและในเกือบทุกช่วงวัยเลย ไม่ว่าจะเป็นเด็กอนุบาล ประถมหรือวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงการเรียนมัธยม ซึ่งวิชาชีพนี้จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “คุณครู” นั่นเอง
.
เชื่อว่าคุณครูหลายคงทราบดีว่าการดีลกับเด็กนักเรียนนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย เพราะนอกจากมันคือการดูแลเด็กนักเรียนที่มากกว่าหนึ่งคนแล้ว (ซึ่งเด็กแค่คนเดียวก็สามารถทำเอาพวกเราเหนื่อยกันตาถลนแล้ว) เด็กนักเรียนแต่ละวัยก็มีความยากง่ายในการสอนหรือดูแลแตกต่างกันอีกเหมือนกัน นี่ยังไม่นับเรื่องของงานการสอนที่คุณครูแต่ละท่านต้องเตรียมตัว หรืองานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายอีก ส่วนตัวเลยถือว่าการประกอบวิชาชีพนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้ใจในการทำงานมากพอสมควรเลยจริง ๆ และควรจะได้รับการยกย่องอย่างมากเช่นกัน
.
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางครั้งระหว่างเวลาสอนแม้เราจะเตรียมเนื้อหาการสอนมาแน่นขนาดไหน แต่เวลาเจอปัญหาของเด็ก ๆ ในห้อง เช่น มีเด็กคนหนึ่งโดนเพื่อนแบนจากกลุ่มเด็กส่วนใหญ่เพราะมีความไม่เข้าพวกบางอย่าง มีเด็กบางคนไม่ตั้งใจเรียนหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อเรา หรือมักจะคอยขัดขวางการทำงานในหน้าที่ของเราในห้องเรียน หรือไปจนถึงมีเด็กบางกลุ่มตั้งใจจะโดดเรียนไม่เข้าเช็คชื่อในห้อง บางทีเราเองก็คงรู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน และไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรในฐานะของคุณครู เพราะในอีกใจหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ดูจะเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ในการจัดการเช่นเดียวกัน (เราก็มีแค่หน้าที่ report ส่งไปให้ผู้ปกครองทราบ) แต่ในอีกใจหนึ่งเราก็ต้องพยายามควบคุมสถานการณ์ทำให้การเรียนสามารถดำเนินต่อไปได้ และพยายามทำให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ ทุกคนได้รับความรู้หรือประสบการณ์การเรียนที่ดีเช่นกัน
.
บางทีเชื่อว่าเวลาคุณครูหลายท่านเจอสถานการณ์นี้ อาจเริ่มต้นจากการดุหรือตักเตือนเด็ก ๆ ก่อนเพื่อให้เขาทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่สมควร ไปจนถึงการใช้ข้อบังคับตามกฎของโรงเรียนในการตักเตือนหรือสั่งสอนเด็กให้รู้จักระเบียบและการใช้ชีวิตในสังคม แต่ดูเหมือนในบางครั้งมันก็ดูยากที่จะสื่อสารให้เด็ก ๆ เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสารเช่นเดียวกัน เพราะบางทีเด็กก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง หรือบางทีวิธีการนี้ใช้ได้กับเด็กประถม แต่ใช้ไม่ได้กับเด็กมัธยม แล้วเราก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เพราะส่วนตัวเชื่อว่าลึก ๆ คุณครูทุกท่านก็ไม่ได้อยากดุเด็กถ้าไม่จำเป็น หรือก็ไม่ได้อยากให้ปัญหาอย่างเรื่องการโดดเรียน โดนเพื่อนแบน หรือการโดนนักเรียนกวนประสาทหรือต่อต้านเราระหว่างการสอนนั้นเกิดขึ้นกับตนเองเช่นเดียวกัน
.
และถึงแม้ว่าปัญหาการเรียนเหล่านี้ไม่ใช่หน้าที่การรับผิดชอบของเราเพียงฝ่ายเดียว หรือมันคือปัญหาที่หลายฝ่ายจะต้องร่วมมือการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ที่เรา แล้วการมีความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวก จะมีส่วนช่วยเราอย่างไรในฐานะของกาเป็นคุณครูล่ะ?
.
อย่างน้อยที่สุด ส่วนตัวมองว่าการมีความรู้หลักการเลี้ยงลูกเชิงบวก อย่างน้อยที่สุดมีส่วนช่วยทำให้ตัวคุณครูเองรู้สึก ‘เบา’ หรือสามารถช่วยจัดการความรู้สึกหงุดหงิด หรือไม่พอใจจากเหตุการณ์ปัญหาของนักเรียนได้ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญมากเลยที่ช่วยทำให้เราจัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น และสามารถจดจ่อกับการทำงานของเราในฐานะวิชาชีพนี้ได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
.
เพราะหนึ่งในหลักการสำคัญของการเลี้ยงลูกเชิงบวก คือเราใช้การทำความเข้าใจปัญหาของเด็กด้วย ‘การเข้าอกเข้าใจคนอื่น (empathy)’ หรือการนำตัวเราเองเข้าไปใส่ในเรื่องราวของเด็ก ๆ เพื่อเข้าใจในความคิดหรือความรู้สึกของเขา ทำให้อย่างน้อยที่สุดเราไม่ได้แค่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับเด็กที่ดีขึ้นได้ แต่สามารถเข้าใจเด็กได้จริง ๆ ด้วย ซึ่งตรงนี้อาจทำให้เราเริ่มหาแนวทางการจัดการปัญหาไปพร้อมกับเด็กได้ในเวลาเดียวกัน
.
ส่วนใหญ่เวลาเด็ก ๆ มีปัญหา ไม่ว่าจะเด็กไม่เข้าใจเวลาเราสอน หรือมีพฤติกรรมที่ต่อต้านไม่ฟังเรา ส่วนใหญ่สถานการณ์นี้มักจะทำให้เราสงสัย หงุดหงิด หรือบางคนอาจแอบรู้สึกนอยด์กับตัวเองเพราะไม่แน่ใจว่าเราทำดีพอหรือยัง บางทีนอกจากเราจะต้องคอยบอกกล่าวตักเตือนแล้ว เราอาจต้องดุด้วยน้ำเสียงจริงจังด้วย โดยหวังเพื่อจะให้เขาเกรงกลัวและปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ให้ดีขึ้น แต่บางทีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหมือนยิ่งดุ เหมือนยิ่งยุ และทำให้เด็กยิ่งมีพฤติกรรมต่อต้านเรามากไปกว่าเดิมเสียอีก แล้วเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไง แต่ก็ต้องพยายามสรรหาวิธีการในรูปแบบต่าง ๆ มาช่วยแก้ปัญหาเพื่อให้เด็กดื้อน้อยลง ไม่ว่าจะค่อย ๆ ใช้ไม้อ่อน หรือต้องจัดการด้วยไม้แข็งแบบไร้หัวใจเลยก็ตาม
.
“การเริ่มเข้าไปทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่ภายในของเด็ก ๆ ด้วย empathy” อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเข้าใจ และทำให้เราสอนหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น อาจเริ่มจากกาเรียกเด็กเข้ามาคุยแบบตัวต่อตัวแต่ด้วยท่ามกลางบรรยากาศที่ปลอดภัย เปิดโอกาสให้ได้พูดอย่างไม่ถูกตัดสินก็ได้ รวมถึงอาจลองพูดทวนความสิ่งที่เด็กเล่าให้เราฟัง หรือสะท้อนความรู้สึกของเด็กที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวปัญหานั้นก็ได้ เพื่ออย่างน้อยทำให้ช่วยสร้างสัมพันธภาพระหว่างเรากับเด็กมากขึ้น ทำให้เขาเริ่มรับฟังเรามากขึ้น (เพราะเราเริ่มเปิดพื้นที่รับฟังเขาก่อนให้เห็นอย่างชัดเจนนั่นเอง)
.
สิ่งนี้จึงนอกจากจะทำให้เด็กเข้าหาเรามากขึ้นแล้วนั้น อีกส่วนหนึ่งที่คิดว่าช่วยได้มาก ๆ เลยก็คือมันช่วยทำให้เราเบาใจขึ้นเพราะในเวลาเด็กมีปัญหาแล้วเราไม่รับฟังจริง ๆ มันจะยิ่งหงุดหงิดและเหนื่อยมากขึ้นถ้าเราปิดโสตประสาททั้งหมดในการรับฟังเด็กและเริ่มการปรับพฤติกรรมทันที เพราะมันเหมือนกับเราต้อง work กับเด็กฝ่ายเดียวที่เด็กไม่พยายามทำเข้าใจเราเลย และสุดท้ายก็จะมาจบที่เราก็หงุดหงิดและเหนื่อยกับเด็กเหมือนเดิมเมื่อเห็นเขาทำพฤติกรรมไม่น่ารัก และปัญหานี้ก็คาราคาซังไม่จบสิ้นสักที....
.
เพราะหากให้ลองเปลี่ยนมุมมอง เวลาเราเจอใครไม่ว่าจะเพื่อน คุณครู หรือคุณพ่อคุณแม่ของเรา ที่อยู่ดี ๆ ก็มาดุใส่เราโดยไม่ฟังเราก่อนเลยว่าเราทำไปเพราะอะไร มันก็ดูน่าหงุดหงิด หรือดูไม่น่าเคารพอยู่ไม่น้อย มันก็คงไม่แปลกเหมือนกันที่เราจะไม่พอใจ หรือบางทีเราในสมัยเด็กก็อาจเคยต่อต้านคนกลุ่มนี้ไปเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ลึก ๆ แล้ว ปัญหานี้มันก็สร้างความลำบากใจต่อเราตอนนั้นไม่น้อย และลึก ๆ เราก็คงอยากได้รับความช่วยเหลือจากใครสักคนเหมือนกัน 
.
และหากคุณครูท่านใดอยากจะมาลองศึกษาทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวกเพื่อนำไปปรับใช้กับการประกอบวิชาชีพต่อไปในอนาคต สามารถมาเรียนรู้ได้ฟรีต่อกันได้เลยที่ www.netpama.com
เน็ตป๊าม้า ขอแนะนำหลักสูตรออนไลน์ สอนเทคนิคเชิงบวกในการปรับพฤติกรรมเด็ก
คอร์สเร่งรัด
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่มีพื้นฐานการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกอยู่แล้ว
แต่ต้องการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเด็กที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
คอร์สจัดเต็ม
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเรียนรู้และฝึกใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็ก
อย่างเป็นขั้นบันได เพื่อเตรียมพร้อมที่จะนำไปรับมือกับปัญหาพฤติกรรมเด็ก
อย่างมั่นใจ