window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag(){dataLayer.push(arguments);} gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-HT69D45H8X');

สอนให้ลูกจัดการตัวเองอย่างไร เมื่อเขาจำเป็นต้องทำใน ‘สิ่งที่ไม่ชอบ’

เมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว
สอนให้ลูกจัดการตัวเองอย่างไร เมื่อเขาจำเป็นต้องทำใน ‘สิ่งที่ไม่ชอบ’ บทความโดย #คุณนายข้าวกล่อง
.
‘ผมไม่ชอบวิชานี้เลย ผมไม่เรียนได้ไหม (แต่มันคือวิชาบังคับของโรงเรียนที่ต้องเรียน)’
‘หนูไม่อยากวิชานี้เรียนเลย (ซึ่งเป็นวิชาบังคับของโรงเรียนเช่นกัน) หนูง่วงแล้ว หนูเหนื่อยแล้ว หนูไม่เรียนได้ไหม’
‘หนูอยากวาดรูป! หนูขอวาดรูปก่อนที่จะไปโรงเรียนได้ไหม (แต่หนูกำลังจะไปโรงเรียนสายแล้วนะ ☹)’
.
นี่คงอาจเป็นสิ่งที่ชาวผู้ปกครองหลายท่านพบเจอ เวลาที่เด็กของเราแสดงความไม่พอใจออกมาในวันที่เขาต้องเจอกับสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ แต่สิ่งที่ตนเองไม่ชอบนั้นดันเป็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ อย่างเช่นการเรียนวิชาบังคับของโรงเรียน ที่บางวิชามันอาจยากมาก ๆ จนทำให้เขารู้สึกท้อ ส่งผลทำให้ไม่อยากเข้าเรียน หรือบางทีในวันนั้นสภาวะจิตใจหรือร่างกายเขาอาจไม่สมบูรณ์พร้อมเหมือนปกติแต่จำเป็นต้องไปเรียน เลยทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ หงุดหงิด อารมณ์สวิงมากจนบางทีก็อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนเช่นกัน แถมยิ่งเวลาเขาแสดงความไม่พอใจออกมารุนแรงมาก ๆ เช่นร้องไห้เสียงดัง ๆ หรือมีพฤติกรรมอาละวาด (Tantrum) ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนี้อาจทำให้ชาวผู้ปกครองบางท่านทั้งรู้สึกหงุดหงิด เหนื่อยใจ หรืออาจรู้สึกสงสารเห็นใจลูกของเราไม่น้อยเหมือนกัน
.
แต่เพราะโลกแห่งความเป็นจริงเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์บังคับที่เราไม่ชอบได้ตลอดเวลา แล้วเราในฐานะผู้ปกครองควรจะทำอย่างไรให้ลูกมีภูมิคุ้มกัน หรือสามารถจัดการอารมณ์ ‘ความไม่พอใจ’ ของตัวเองเมื่อเจอสิ่งที่เราไม่ชอบ เพื่อทำให้เขาสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าลำบากใจนั้นได้อย่างไม่เป็นทุกข์จนเกินไป
.
วันนี้ #คุณนายข้าวกล่อง เลยอยากมาแชร์ถึง mindset และวิธีการสอนทักษะการจัดการอารมณ์ความไม่พอใจตามหลักจิตวิทยาเชิงบวก เพื่อให้เป็นไอเดียสำหรับพวกเราชาวผู้ปกครองให้สามารถช่วยปลูกฝังทักษะนี้แก่ลูกของเราได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น และหากผู้ปกครองท่านใดอยากแชร์ถึงวิธีการรับมือกับสถานการณ์นี้เพิ่มเติม สามารถแชร์กันใต้คอมเม้นต์ด้านล่างเลยนะคะ (เพราะการเลี้ยงลูกไม่ได้มีวิธีที่ถูกต้องตายตัวร้อยเปอร์เซนต์เช่นกัน)
.
สมมติถ้าเราเป็นคนไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แล้วมีคนมาบอกว่าให้เราแก้ปัญหานี้ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติให้ ‘ชอบวิชาคณิตศาสตร์’ เสียสิ! – ความเห็นส่วนตัวคิดว่าหากมีใครมาพูดกับเราแบบนี้ เราก็คงมีความรู้สึก ‘อิหยังวะ’ อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะการจัดการตัวเองแบบนี้นอกจากมันจะไม่ realistic กับความเป็นมนุษย์ที่เราก็มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบเป็นปกติแล้ว ส่วนตัวคิดว่ามันยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองอย่างไม่จำเป็นด้วยอีกเช่นกัน เพราะมันดูเหมือนว่าการที่เราไม่ชอบอะไรบางอย่าง มันคือความผิดปกติของเรา (ที่คนอื่นเขาไม่น่าเป็นกัน)
.
‘การซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเอง’ คงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่นอกจากจะทำให้เด็ก ๆ ได้เข้าใจว่าการมีความรู้สึกเชิงลบต่อบางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องธรรมชาติแล้ว มันทำให้เขาสามารถเข้าใจตัวเองได้เหมือนกันว่าตอนนี้เขารู้สึกอะไรอยู่ ไม่ว่าจะมีความรู้สึกกลัว เศร้า กังวล หงุดหงิด หรือไม่พอใจ ซึ่งส่วนตัวมองว่าทักษะการสะท้อนความรู้สึกของตนเองนั้นเป็นรากฐานสำคัญมากต่อการจัดการตนเอง เพราะหากเราไม่เคยทำความรู้สึกความรู้สึกโกรธ หงุดหงิด หรือไม่พอใจของตนเองเลย แล้วใช้วิธีจัดการความรู้สึกนี้ด้วยการกดทับมันไว้ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าเรามีความรู้สึกนี้อยู่ สิ่งนี้อาจทำให้พวกเขายิ่ง disconnect กับตัวเอง และยิ่งหาวิธีการจัดการตัวเองได้ยากเข้าไปอีก (เพราะเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเราเป็นอะไร)
.
‘การช่วยลูกสะท้อนอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา’ จึงเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อทำให้เขารู้จักอารมณ์ของตนเองมากขึ้น รวมถึงช่วยทำให้เขารู้จักถึงวิธีการแสดงออกถึงอารมณ์นั้นอย่างเหมาะสมด้วยการพูดคำเกี่ยวกับอารมณ์นั้นออกมา แทนที่จะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมบางอย่างที่สื่อให้เห็นถึงความไม่พอใจที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการร้องไห้เสียงดังจนเกินเหตุจนไม่ยอมฟังเรา หรือการมีพฤติกรรมอาละวาด (tantrum) ที่อาจไม่ใช่พฤติกรรมที่น่ารักสำหรับเราหรือสังคมสักเท่าไหร่
.
“หนูกำลังรู้สึกหงุดหงิด /เครียด/เหนื่อย/ ไม่พอใจใช่ไหม? แม่เข้าใจได้นะ เดี๋ยวเรามาหายใจเข้าหายใจออกลึก ๆ ช้า ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ลูกจะได้ใจเย็นขึ้น”
“เราคงรู้สึกไม่ชอบวิชานี้มากจริง ๆ ใช่ไหม พ่อเข้าใจนะ ลองบอกพ่อหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไรถึงไม่ชอบวิชานี้ เราจะได้ช่วยแก้ไขปัญหานี้ไปด้วยกัน”
.
นี่เป็นตัวอย่างคำพูดที่นอกจากจะสามารถช่วยสะท้อนอารมณ์ของลูกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อทำให้ลูกเข้าใจตัวเองได้มากขึ้นแล้ว เราสามารถที่จะแนะนำหรือช่วยเสริมสร้างทักษะในการจัดการอารมณ์ต่อไปได้ด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการอารมณ์ด้วยการควบคุมร่างกายให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หรือการส่งเสริมให้ใช้การพูดคุยกันแทนการแสดงพฤติกรรมอาละวาดเพื่อจัดการปัญหาและความรู้สึกไม่พอใจ เพื่อทำให้เขาได้เรียนรู้ทักษะการจัดการอารมณ์ ทำให้นำไปสามารถ apply ใช้กับตนเองได้ในเหตุการณ์อื่น ๆ ต่อไป ซึ่งหากใครอยากศึกษาวิธีการจัดการอารมณ์นี้เพิ่มเติม สามารถไปศึกษาบทเรียน ‘การปรับพฤติกรรม’ ต่อได้เลยที่ www.netpama.com
.
สืบเนื่องจากการกล่าวถึงทักษะการจัดการอารมณ์ในพาร์ทก่อนหน้า ส่วนตัวเลยอยากเสริมเพิ่มเติมในส่วนของทักษะการจัดการอารมณ์สักเล็กน้อย แม้ว่าการควบคุมอารมณ์นี้จะสามารถทำได้ในหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการสร้างสรรค์ของแต่ละคนก็ตาม
.
วิธีนี้ช่วยให้เด็กได้รู้จักการควบคุมอารมณ์ผ่านการปรับพฤติกรรม ด้วยการพาให้เด็ก ๆ ลองสังเกตตระหนักรู้ตัวเองเมื่อมีความรู้สึกไม่พอใจว่ามีการแสดงกิริยาหรือพฤติกรรมอะไรบ้าง และเรียนรู้ที่จะหยุดมัน หรือหันไปทำพฤติกรรมอื่น ๆ แทนเพื่อควบคุมอารมณ์ความไม่พอใจ
.
“แม่รู้ว่าหนูกำลังไม่พอใจ แต่แม่ก็รู้สึกไม่โอเคเหมือนกันที่หนูพูดเสียงดัง / โวยวาย / อาละวาด หนูสามารถพูดกับแม่ด้วยเสียงเบา ๆ / นั่งลง / ยืนนิ่ง ๆ เพื่อคุยปัญหากันได้ไหม” – นี่อาจเป็นหนึ่งในวิธีการสอนให้ลูกรู้จักการปรับพฤติกรรมเพื่อควบคุมอารมณ์ไม่พอใจด้วยหลักการพูด i-message ที่เหล่าผู้ปกครองสามารถทำได้ ซึ่งสามารถเรียนรู้หลักการพูดนี้ต่อได้เลยที่ www.netpama.com
วิธีการนี้เป็นการควบคุมอารมณ์ผ่านการเปลี่ยนแปลงอาการของร่างกายเมื่อเด็ก ๆ รู้สึกไม่พอใจ โดยเราอาจเริ่มต้นสะท้อนอาการทางร่างกายของเด็ก ๆ ให้เขาเห็นและตระหนักรู้กับตัวเองก่อนว่าเวลาเขาไม่พอใจ ร่างกายของเขาตอบสนองอย่างไร
.
โดยส่วนใหญ่เวลามนุษย์เกิดความรู้สึกไม่พอใจ ร่างกายอาจรู้สึกร้อนขึ้นข้างใน หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ ๆ รัว ๆ สิ่งหนึ่งที่เราสามารถช่วยได้คือการควบคุมลมหายใจ เพื่อ cool down ร่างกายข้างในทำให้หัวใจเต้นช้าลง (พาหายใจเข้า-ออกช้า ๆ พร้อมกัน) ทำให้ลดความเครียดภายในร่างกายลง หรือสามารถแนะนำให้เด็กทำบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยทำให้เขารู้สึกเย็นลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการได้ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่สงบหรือรู้สึกปลอดภัย หรือพาทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกเย็นลงขึ้น หรือได้ระบายความรู้สึกไม่พอใจนั้นออกมาอย่างเหมาะสม (ฟังเพลง ร้องเพลง ระบายสี เขียนระบายความในใจกับตัวเอง ออกกำลังกาย บีบลูกบอลนิ่ม ๆ หรืออยู่กับแมวหรือตุ๊กตาน้อยคู่ใจ)
.
แม้ว่าการทำสิ่งที่ไม่ชอบจะสร้างความไม่พอใจต่อเราและลูกได้เป็นปกติ แต่การหาวิธีให้กับตัวเองเพื่อทำให้สามารถอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบได้อย่างไม่ทรมานจิตใจก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่มีส่วนช่วยทำให้สามารถปรับตัวกับสถานการณ์นั้นให้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน
.
‘การสร้างความหมายกับการทำสิ่งที่ไม่ชอบ’ อาจถือเป็นอีกหนึ่งกลไกลในการเปลี่ยนมุมมองหรือทัศนคติต่อการอยู่ในสถานการณ์ที่สร้างความไม่พอใจ ทำให้เด็ก ๆ พออยู่กับสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจได้ และมีความแข็งแกร่งทางจิตใจ (resilience) โดยอาจพาชวนเด็ก ๆ มองหาถึงประโยชน์หรือความสนุกของการทำสิ่งนั้น หรือการสร้างความหมายภายในให้กับตัวเอง เช่น ความภาคภูมิใจ ความท้าทาย หรือมองเป็นความรับผิดชอบในการสามารถอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบได้ โดยเราในฐานะผู้ปกครองอาจลองตั้งคำถามเพื่อให้ลูก ๆ ได้คิดถึงสิ่งนี้ หรืออาจพูดในมุมมองนี้มากขึ้นเพื่อให้ข้อมูลการเปลี่ยนความคิดรูปแบบใหม่ ๆ ให้เขาได้เรียนรู้มากขึ้นก็ได้
.
“แม่รู้ว่าหนูไม่ชอบเรียนวิชานี้มาก ๆ เลย เชื่อว่ามันคงยากมาก ๆ แต่แม่เชื่อเหมือนกันว่าถ้าเราผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันได้ อาจไม่ต้องถึงขั้นดีเลิศเลอเป็นที่หนึ่งของห้อง มันคงรู้สึกฟินมากเหมือนกันเนอะที่เราสามารถทำมันได้ และแม่คงภูมิใจในตัวหนูมาก ๆ เหมือนกัน ซึ่งหนูก็ควรภูมิใจในตัวเองมาก ๆ เช่นกันนะ”
“พ่อรู้ว่าหนูอยากวาดรูปมากกว่า เพราะสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันน่าเบื่อมาก ๆ เลย แต่การเรียนก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนอะ พ่อรู้มันแอบเศร้าเหมือนกัน แต่เดี๋ยวเรามาช่วยทำหน้าที่นี้ให้เสร็จไปด้วยกันนะ แล้วเดี๋ยวเรากลับมาวาดรูปให้หนำใจไปเลย!”
.
และหากผู้ปกครองต้องการเรียนรู้เรื่องการสอนการจัดการอารมณ์แก่ลูก ๆ ของเราเพิ่มเติม สามารถเรียนรู้กันต่อได้เลยที่ www.netpama.com
หมวดหมู่ทั้งหมด

NET PAMA