เพราะอะไรลูกถึงไม่ทำการบ้าน? – ทำความเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของการ ‘ไม่ทำการบ้าน’
เมื่อ 1 วันที่แล้ว
เพราะอะไรลูกถึงไม่ทำการบ้าน? – ทำความเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของการ ‘ไม่ทำการบ้าน’ บทความโดย #คุณนายข้าวกล่อง
.
‘ปัญหาลูกไม่ทำการบ้าน’ คงเป็นปัญหาค่อนข้างคลาสสิคที่ชาวผู้ปกครองหลายท่านคงเคยเจอ ตั้งแต่ผู้ปกครองที่มีลูกวัยประถม ไปจนถึงลูกวัยรุ่นที่อยู่โรงเรียนมัธยม
.
แต่เคยสงสัยกันมั้ยว่า แล้วเพราะอะไรเด็ก (หรือแม้กระทั่งตัวเราหรือเพื่อนเองในสมัยเด็ก เพราะก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหานี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยเรา หรือสมัยรุ่นเหนือพ่อแม่เราไปอีกเหมือนกัน) ถึงไม่ยอมทำการบ้าน? ถ้าเราย้อนกลับไปดูค่านิยมสมัยเรา สังคมคงให้คำตอบว่า เพราะว่าเด็ก (หรือเราในวันนั้น) ‘ขี้เกียจ หรือไม่มีความรับผิดชอบ’ หรือถ้าเป็นในสังคมสมัยนี้ ก็คงอาจเป็นเพราะ ‘เด็กติดเกมส์’ จนไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองหรือเปล่า
.
‘ขี้เกียจ’ ‘ไม่รับผิดชอบ’ ‘ติดเกมส์’- คำเหล่านี้ดูเป็นการอธิบายถึงนิสัยของคนที่ไม่ว่าใครเจอคนอื่นพูดใส่ คงอาจรู้สึกจุกอก หงุดหงิด โกรธ เศร้า หรือสร้างความรู้สึกเชิงลบต่อเราไม่น้อยเลยว่าไหมคะ?
.
มาจนตรงนี้ #คุณนายข้าวกล่อง อยากชวนให้ชาวผู้ปกครองทุกคนลองกลับไปมองตัวเองในวัยเด็ก ที่อาจเคยมีประสบการณ์นี้ หรือเคยมีเพื่อนที่มีประสบการณ์นี้ก็ได้ ว่าที่เราไม่ทำการบ้านในวันนั้น เป็นเพราะว่าเราขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ หรือติดเกมส์ จริงไหม?
.
ส่วนตัวคิดว่ามันแอบตอบยากเหมือนกันนะคะว่าเพราะอะไรลูก เพื่อนของเราในสมัยเด็ก หรือแม้กระทั่งตัวเราเองในตอนนั้นถึงไม่ทำการบ้าน เพราะเอาเข้าจริงถ้าย้อนกลับไปถามตัวเองสมัยนั้น บางทีเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ทำการบ้าน มันเหมือนแค่บางทีมันเป็นก้อนความรู้สึกที่โผล่ขึ้นมาเองเลยตัดสินใจไม่ทำ แต่ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้แปลว่าเราขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ หรือเพราะว่ามีสิ่งอื่นอย่างเกมส์ที่น่าสนใจมากกว่าเลยทำให้ไปเล่นเกมแทนที่จะทำการบ้านหรือเปล่า แถมถ้าให้ลองมองมุมอื่นที่หากเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นกับเพื่อนเราหรือลูกเรา มันก็พูดยากเหมือนกันว่ามันจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพราะแต่ละคนอาจมีสาเหตุที่ไม่เหมือนกันก็ได้
.
การที่เราให้คำอธิบายด้วยลักษณะนิสัยที่ชวนให้รู้สึกแย่ หรือแม้แต่ด้วยคำอธิบายอื่น ๆ ที่อาจดูดีขึ้นเพื่ออธิบายพฤติกรรมเดียวที่เกิดขึ้นในมนุษย์ทุกคน ก็คงจะเป็นคำอธิบายที่เหมารวมไปหน่อย เพราะแต่ละคนก็คงมีจุดต้นตอของบ่อเกิดพฤติกรรมไม่ทำการบ้านที่ไม่เหมือนกัน
.
แถมพอยิ่งเป็นใช้การอธิบายด้วยคำนิยามนิสัยที่สร้างความรู้สึกแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันก็คงไม่แปลกเหมือนกันที่บางทีหากเรา เพื่อน หรือแม้กระทั่งลูกได้ยินคำอธิบายว่า ‘เพราะเราเป็นคนขี้เกียจ / ไม่รับผิดชอบ / ติดเกมส์’ พวกเราเองก็คงจะรู้สึกแย่ไม่น้อยเหมือนกัน จนบางทีก็เข้าใจได้เหมือนกันว่าจะมีความรู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือบางทีก็อาจยิ่งมีพฤติกรรมต่อต้านเราเหมือนกัน ทำให้ยิ่งแก้ไขปัญหานี้ยากขึ้นไปอีกเพราะเราเองก็คงไม่ได้อยากไปยุ่งกับคนด่าหรือตัดสินใจเราแต่แรกอยู่แล้ว
.
ปัญหาของการไม่ทำการบ้านจึงไม่ใช่ปัญหาที่จะมีคำอธิบายแบบ one-size-fits-all (aka มีคำตอบตายตัวที่สามารถอนุมานได้ถึงมนุษย์ทุกคนที่ทำแบบนี้) มันคือปัญหาพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ซึ่งต้องอาศัยการทำความเข้าใจแต่ละคนมาก ๆ
.
การเริ่มต้นด้วย mindset นี้เพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการค่อย ๆ หาคำตอบไปร่วมกันกับเด็ก ๆ ถึงพฤติกรรมไม่ทำการบ้าน และในระหว่างที่กำลังค้นหาคำตอบ การที่เด็กจะบอกว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็อาจเป็นเรื่องเข้าใจได้ก็ได้ ที่ไม่ได้แปลว่าเด็กอาจไม่อยากบอกเราเสมอไป ซึ่งนั่นก็คือหน้าที่ของเราที่จะช่วยตั้งคำถามให้เขาได้สำรวจความคิด อารมณ์ หรือพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น เพื่อให้เขาได้ทบทวนตัวเองและหาคำตอบในเรื่องของการไม่ทำการบ้านได้
.
หรือหากเป็นในเคสที่เด็กไม่ยอมบอกเรา เราอาจต้องย้อนกลับมามองดูความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเด็กว่ามันเป็นอย่างไรเด็กถึงไม่กล้าที่จะบอกเรา หรืออาจลองให้พื้นที่ให้เด็กได้พูดความคิดความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นก็ได้ในแบบที่เราไม่พูดแทรกและตั้งใจฟัง เพื่อทำให้เราได้ข้อมูลจากมุมของเด็กเพื่อทำความเข้าใจความไม่อยากบอกเรามากขึ้น และเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าเราพร้อมทำความเข้าใจและเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เขาสามารถแสดงความเปราะบางได้โดยไม่ต้องรู้สึกแย่ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้หากผู้ปกครองท่านใดสนใจสามารถเรียนรู้ต่อได้เลยที่ www.netpama.com
.
นอกเหนือจาก mindset ที่ไม่ได้เหมารวมปัญหาแบบ one-size-fits-all แล้ว วันนี้ #คุณนายข้าวกล่อง แอบเอาความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่ช่วยอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมไม่ทำการบ้านมาฝากกันพอหอมปากหอมคอ เพื่อเอามาเป็นข้อมูลเบื้องต้นช่วยทำความเข้าใจลูก ๆ ของเราได้มากขึ้น และหากใครลองอ่านแล้วยังอยากได้ความรู้นี้เพิ่มเติม หรืออยากรู้ว่าพวกเราควรทำยังไงเพื่อช่วยให้ลูกทำการบ้านได้มากขึ้น ชาวผู้ปกครองสามารถเข้ามาฟังไลฟ์ #NetPAMATheRescue เรื่อง ‘เมื่อลูกไม่อยากทำการบ้าน จะใช้เทคนิคไหนดี’ ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้เวลา 20.00-21.30 น. ที่เพจเน็ตป๊าม๊าได้เลยนะคะ รับรองว่าได้ข้อมูลแน่น ๆ กลับไปช่วยลูก ๆ ของเราแน่นอน
.
#ตัวอย่างสาเหตุของพฤติกรรมไม่ทำการบ้าน
อยากทำนะแต่.... – การที่เด็ก ๆ แสดง message ประมาณนี้กับเรา หมายความว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะไม่ทำการบ้าน แต่มันมีอุปสรรคอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมหรือทำการบ้านได้
.
‘(อยากทำนะแต่) มันทำไม่ได้ การบ้านมันยาก’
‘(อยากทำนะ) แต่ไม่มีเวลาทำเลย’
‘(อยากทำนะแต่) การบ้านมันน่าเบื่อ แถมมีอะไรน่าสนุกให้ทำกว่าตั้งเยอะ’
.
ในส่วนตัว #คุณนายข้าวกล่อง มองว่าถ้าเป็นเหตุผลทรงประมาณนี้ แปลว่าจริง ๆ เด็ก ๆ ยังมีใจหรือยังไม่ได้ต่อต้านในการทำการบ้าน เพราะฉะนั้นการช่วยเสริมทักษะบางอย่างเพื่อช่วยให้เขาทำการบ้านได้ เช่น เข้าไป ช่วยสอนการบ้าน ช่วย prioritize หรือแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการเวลาในแต่ละวัน หรือทักษะการเปลี่ยนมุมมองให้การบ้านดูเป็นเรื่องน่าสนุก ไม่น่าเบื่อ (เช่น ให้ลองคิดว่ามันไม่ใช่การบ้าน แต่เป็นเหมือนเกม ที่การค่อย ๆ ทำโจทย์เลขผ่านไปทีละข้อคือการผ่านด่านไปจนถึงเลเวลสูงสุด) จึงเป็นสิ่งที่เราในฐานะคุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ เพื่อให้เขาสามารถทำการบ้านได้เอง (ดังใจหวังแต่แรก)
.
ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม – แม้คำพูดนี้ดูอาจสื่อให้เราเห็นถึงความต่อต้านของเด็กต่อการทำการบ้าน (ที่ทำเอาผู้ใหญ่หลายคนปาดเหงื่อไม่น้อย) แต่คำอธิบายที่ไม่ทำการบ้านเพราะว่า ‘ไม่รู้จะทำไปทำไม’ นอกจากมันจะสื่อให้เห็นถึงความรู้สึก ‘สิ้นหวังลึก ๆ ข้างใจ’ แล้ว คำอธิบายซ้อนเหตุผลของมุมมองว่าไม่รู้จะทำไปทำไม ก็สามารถบอกอะไรหลายอย่างกับเราได้เหมือนกัน เช่น
.
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) ยังไงก็ทำเองไม่ได้อยู่ดีเพราะเนื้อหาการบ้านยากเกินที่สอนในห้อง’
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) การบ้านง่ายเกิน ทำไปก็ไม่เห็นช่วยอะไรในชีวิต ในเมื่อง่ายขนาดนี้ก็เรียนในห้องพอแล้วไหม’
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) ทำไปครูก็ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ตั้งใจตรวจอยู่ดี’
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) เรียนไปก็ไม่เห็นเก็ตเลยว่ามันมีประโยชน์กับตัวเองยังไง’
.
คำตอบภายใต้คำว่าไม่รู้จะทำการบ้านไปทำไม นอกจากจะทำให้เราเริ่มเข้าใจถึงมุมมองเกี่ยวกับการบ้านของเด็ก ๆ แล้ว ยังสะท้อนให้เราเห็นว่ามันมีองค์ประกอบหลายส่วนมาก ๆ เลยที่ส่งผลทำให้เด็กคนหนึ่งไม่อยากทำการบ้าน ไม่ว่าจะทั้งตัวเนื้อหารการบ้าน โรงเรียน รวมถึงตัวของเด็กด้วย การแก้ไขปัญหานี้ที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ ในมุมมองนี้จึงอาจต้องมาจาการทำงานร่วมกันในหลาย ๆ ฝ่าย นอกเหนือจากการเวิร์คกับตัวเด็กด้วยเช่นกัน
.
แต่ถ้าพูดในพาร์ทการเวิร์คกับตัวเด็ก ส่วนตัวคิดว่า ‘การส่งเสริมให้เด็กหาความหมายของการทำการบ้านของตัวเอง’ ดูเป็นสิ่งที่สำคัญมากเหมือนกันกับเคสนี้ เพราะหากเขาตอบได้ว่าการทำการบ้านคืออะไรสำหรับตัวเอง แบบที่ไม่จำเป็นต้องสวยหรู ดูเด็กดี เหมือนที่ค่านิยมเขาพูดกัน เช่น คือการทำหน้าที่บางอย่างให้เสร็จจะได้ไปทำในสิ่งที่อยากทำ หรือคือสัญลักษณ์ของความพยายามของตนเอง ไม่ว่าเราจะเจออุปสรรคภายนอกเกี่ยวกับการบ้านเข้ามาก็ตาม อย่างน้อยที่สุดเรายังพอที่จะมีแรงจูงใจภายในทำมันต่อไปได้บ้างจนเสร็จ เพราะอย่างน้อยที่สุด การทำการบ้านมันเริ่มมีความหมายอะไรบางอย่างต่อเราแล้ว
.
ปัจจัยด้านร่างกายและสุขภาพจิต – อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การไม่ทำการบ้านสามารถเป็นเรื่องของปัจจัยทางร่างกาย สมอง หรือสุขภาพจิต ที่ส่งผลทำให้เขามีพฤติกรรมแบบนี้ได้ด้วยเช่นกัน
.
ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องสมาธิสั้น (Attention-Deficit and Hyperactivity Disorder: ADHD) ก็สามารถมีส่วนทำให้เด็กไม่ทำการบ้านได้เหมือนกัน โดยอาจอธิบายได้ว่าที่เด็กไม่ทำการบ้านเป็นเพราะการทำการบ้านต้องใช้สมาธิสูงและต้องนิ่งพอสมควร การทำการบ้านจึงอาจเป็นเรื่องยากที่เข้าใจได้สำหรับเด็กที่มีความวอกแวกง่ายเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เขาเลยอาจชอบหลีกเลี่ยงหรือไม่ค่อยเต็มใจที่จะทำการบ้านเท่าไหร่ (เพราะมันยาก ต้องใช้ความพยายามสุด ๆ) ยิ่งถ้าเป็นการบ้านที่ต้องทำเป็นรายงาน จะยิ่ง say no ง่ายมากเลย อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมอาการอื่น ๆ ประกอบร่วมกันด้วยถึงจะทราบว่ามีปัญหาสมาธิสั้นจริงไหม เพราะฉะนั้นหากผู้ปกครองท่านใดรู้สึกสงสัย สามารถเข้ามาพบผู้เชี่ยวชาญเบื้องต้นได้เลยเพื่อประเมินและวินิจฉัย เพื่อที่หากพบว่ามีภาวะของโรคจริง ๆ จะได้รีบช่วยเหลือลูก ๆ เราเลยตั้งแต่เนิ่น ๆ
.
อ้างอิง
นันทวัช สิทธิรักษ์. (2558). จิตเวช ศิริราช DSM-5. (3). สำนักพิมพ์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยมหิดล
Hinchey, P. (1996). Why kids say they don't do homework. The Clearing House, 69(4), 242-
245.
Xu, J. (2013). Why do students have difficulties completing homework? The need for
homework management. Journal of Education and Training Studies, 1(1), 98-105.
Positive Parenting Anywhere Anytime มาเลี้ยงลูกเชิงบวกกับ 'เน็ตป๊าม้า' หลักสูตรออนไลน์สอนเทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก
Empower Families, Enrich Societies
เสริมพลังครอบครัว, สร้างพลังสังคม
#เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #เลี้ยงลูกเชิงบวก
#NetPAMA #4ปีเน็ตป๊าม้า #จากผู้เรียนสู่ผู้สร้าง
.
‘ปัญหาลูกไม่ทำการบ้าน’ คงเป็นปัญหาค่อนข้างคลาสสิคที่ชาวผู้ปกครองหลายท่านคงเคยเจอ ตั้งแต่ผู้ปกครองที่มีลูกวัยประถม ไปจนถึงลูกวัยรุ่นที่อยู่โรงเรียนมัธยม
.
แต่เคยสงสัยกันมั้ยว่า แล้วเพราะอะไรเด็ก (หรือแม้กระทั่งตัวเราหรือเพื่อนเองในสมัยเด็ก เพราะก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหานี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยเรา หรือสมัยรุ่นเหนือพ่อแม่เราไปอีกเหมือนกัน) ถึงไม่ยอมทำการบ้าน? ถ้าเราย้อนกลับไปดูค่านิยมสมัยเรา สังคมคงให้คำตอบว่า เพราะว่าเด็ก (หรือเราในวันนั้น) ‘ขี้เกียจ หรือไม่มีความรับผิดชอบ’ หรือถ้าเป็นในสังคมสมัยนี้ ก็คงอาจเป็นเพราะ ‘เด็กติดเกมส์’ จนไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองหรือเปล่า
.
‘ขี้เกียจ’ ‘ไม่รับผิดชอบ’ ‘ติดเกมส์’- คำเหล่านี้ดูเป็นการอธิบายถึงนิสัยของคนที่ไม่ว่าใครเจอคนอื่นพูดใส่ คงอาจรู้สึกจุกอก หงุดหงิด โกรธ เศร้า หรือสร้างความรู้สึกเชิงลบต่อเราไม่น้อยเลยว่าไหมคะ?
.
มาจนตรงนี้ #คุณนายข้าวกล่อง อยากชวนให้ชาวผู้ปกครองทุกคนลองกลับไปมองตัวเองในวัยเด็ก ที่อาจเคยมีประสบการณ์นี้ หรือเคยมีเพื่อนที่มีประสบการณ์นี้ก็ได้ ว่าที่เราไม่ทำการบ้านในวันนั้น เป็นเพราะว่าเราขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ หรือติดเกมส์ จริงไหม?
.
ส่วนตัวคิดว่ามันแอบตอบยากเหมือนกันนะคะว่าเพราะอะไรลูก เพื่อนของเราในสมัยเด็ก หรือแม้กระทั่งตัวเราเองในตอนนั้นถึงไม่ทำการบ้าน เพราะเอาเข้าจริงถ้าย้อนกลับไปถามตัวเองสมัยนั้น บางทีเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ทำการบ้าน มันเหมือนแค่บางทีมันเป็นก้อนความรู้สึกที่โผล่ขึ้นมาเองเลยตัดสินใจไม่ทำ แต่ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้แปลว่าเราขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ หรือเพราะว่ามีสิ่งอื่นอย่างเกมส์ที่น่าสนใจมากกว่าเลยทำให้ไปเล่นเกมแทนที่จะทำการบ้านหรือเปล่า แถมถ้าให้ลองมองมุมอื่นที่หากเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นกับเพื่อนเราหรือลูกเรา มันก็พูดยากเหมือนกันว่ามันจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพราะแต่ละคนอาจมีสาเหตุที่ไม่เหมือนกันก็ได้
.
การที่เราให้คำอธิบายด้วยลักษณะนิสัยที่ชวนให้รู้สึกแย่ หรือแม้แต่ด้วยคำอธิบายอื่น ๆ ที่อาจดูดีขึ้นเพื่ออธิบายพฤติกรรมเดียวที่เกิดขึ้นในมนุษย์ทุกคน ก็คงจะเป็นคำอธิบายที่เหมารวมไปหน่อย เพราะแต่ละคนก็คงมีจุดต้นตอของบ่อเกิดพฤติกรรมไม่ทำการบ้านที่ไม่เหมือนกัน
.
แถมพอยิ่งเป็นใช้การอธิบายด้วยคำนิยามนิสัยที่สร้างความรู้สึกแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันก็คงไม่แปลกเหมือนกันที่บางทีหากเรา เพื่อน หรือแม้กระทั่งลูกได้ยินคำอธิบายว่า ‘เพราะเราเป็นคนขี้เกียจ / ไม่รับผิดชอบ / ติดเกมส์’ พวกเราเองก็คงจะรู้สึกแย่ไม่น้อยเหมือนกัน จนบางทีก็เข้าใจได้เหมือนกันว่าจะมีความรู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือบางทีก็อาจยิ่งมีพฤติกรรมต่อต้านเราเหมือนกัน ทำให้ยิ่งแก้ไขปัญหานี้ยากขึ้นไปอีกเพราะเราเองก็คงไม่ได้อยากไปยุ่งกับคนด่าหรือตัดสินใจเราแต่แรกอยู่แล้ว
.
ปัญหาของการไม่ทำการบ้านจึงไม่ใช่ปัญหาที่จะมีคำอธิบายแบบ one-size-fits-all (aka มีคำตอบตายตัวที่สามารถอนุมานได้ถึงมนุษย์ทุกคนที่ทำแบบนี้) มันคือปัญหาพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ซึ่งต้องอาศัยการทำความเข้าใจแต่ละคนมาก ๆ
.
การเริ่มต้นด้วย mindset นี้เพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการค่อย ๆ หาคำตอบไปร่วมกันกับเด็ก ๆ ถึงพฤติกรรมไม่ทำการบ้าน และในระหว่างที่กำลังค้นหาคำตอบ การที่เด็กจะบอกว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็อาจเป็นเรื่องเข้าใจได้ก็ได้ ที่ไม่ได้แปลว่าเด็กอาจไม่อยากบอกเราเสมอไป ซึ่งนั่นก็คือหน้าที่ของเราที่จะช่วยตั้งคำถามให้เขาได้สำรวจความคิด อารมณ์ หรือพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น เพื่อให้เขาได้ทบทวนตัวเองและหาคำตอบในเรื่องของการไม่ทำการบ้านได้
.
หรือหากเป็นในเคสที่เด็กไม่ยอมบอกเรา เราอาจต้องย้อนกลับมามองดูความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเด็กว่ามันเป็นอย่างไรเด็กถึงไม่กล้าที่จะบอกเรา หรืออาจลองให้พื้นที่ให้เด็กได้พูดความคิดความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นก็ได้ในแบบที่เราไม่พูดแทรกและตั้งใจฟัง เพื่อทำให้เราได้ข้อมูลจากมุมของเด็กเพื่อทำความเข้าใจความไม่อยากบอกเรามากขึ้น และเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าเราพร้อมทำความเข้าใจและเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เขาสามารถแสดงความเปราะบางได้โดยไม่ต้องรู้สึกแย่ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้หากผู้ปกครองท่านใดสนใจสามารถเรียนรู้ต่อได้เลยที่ www.netpama.com
.
นอกเหนือจาก mindset ที่ไม่ได้เหมารวมปัญหาแบบ one-size-fits-all แล้ว วันนี้ #คุณนายข้าวกล่อง แอบเอาความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่ช่วยอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมไม่ทำการบ้านมาฝากกันพอหอมปากหอมคอ เพื่อเอามาเป็นข้อมูลเบื้องต้นช่วยทำความเข้าใจลูก ๆ ของเราได้มากขึ้น และหากใครลองอ่านแล้วยังอยากได้ความรู้นี้เพิ่มเติม หรืออยากรู้ว่าพวกเราควรทำยังไงเพื่อช่วยให้ลูกทำการบ้านได้มากขึ้น ชาวผู้ปกครองสามารถเข้ามาฟังไลฟ์ #NetPAMATheRescue เรื่อง ‘เมื่อลูกไม่อยากทำการบ้าน จะใช้เทคนิคไหนดี’ ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้เวลา 20.00-21.30 น. ที่เพจเน็ตป๊าม๊าได้เลยนะคะ รับรองว่าได้ข้อมูลแน่น ๆ กลับไปช่วยลูก ๆ ของเราแน่นอน
.
#ตัวอย่างสาเหตุของพฤติกรรมไม่ทำการบ้าน
อยากทำนะแต่.... – การที่เด็ก ๆ แสดง message ประมาณนี้กับเรา หมายความว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะไม่ทำการบ้าน แต่มันมีอุปสรรคอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมหรือทำการบ้านได้
.
‘(อยากทำนะแต่) มันทำไม่ได้ การบ้านมันยาก’
‘(อยากทำนะ) แต่ไม่มีเวลาทำเลย’
‘(อยากทำนะแต่) การบ้านมันน่าเบื่อ แถมมีอะไรน่าสนุกให้ทำกว่าตั้งเยอะ’
.
ในส่วนตัว #คุณนายข้าวกล่อง มองว่าถ้าเป็นเหตุผลทรงประมาณนี้ แปลว่าจริง ๆ เด็ก ๆ ยังมีใจหรือยังไม่ได้ต่อต้านในการทำการบ้าน เพราะฉะนั้นการช่วยเสริมทักษะบางอย่างเพื่อช่วยให้เขาทำการบ้านได้ เช่น เข้าไป ช่วยสอนการบ้าน ช่วย prioritize หรือแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการเวลาในแต่ละวัน หรือทักษะการเปลี่ยนมุมมองให้การบ้านดูเป็นเรื่องน่าสนุก ไม่น่าเบื่อ (เช่น ให้ลองคิดว่ามันไม่ใช่การบ้าน แต่เป็นเหมือนเกม ที่การค่อย ๆ ทำโจทย์เลขผ่านไปทีละข้อคือการผ่านด่านไปจนถึงเลเวลสูงสุด) จึงเป็นสิ่งที่เราในฐานะคุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ เพื่อให้เขาสามารถทำการบ้านได้เอง (ดังใจหวังแต่แรก)
.
ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม – แม้คำพูดนี้ดูอาจสื่อให้เราเห็นถึงความต่อต้านของเด็กต่อการทำการบ้าน (ที่ทำเอาผู้ใหญ่หลายคนปาดเหงื่อไม่น้อย) แต่คำอธิบายที่ไม่ทำการบ้านเพราะว่า ‘ไม่รู้จะทำไปทำไม’ นอกจากมันจะสื่อให้เห็นถึงความรู้สึก ‘สิ้นหวังลึก ๆ ข้างใจ’ แล้ว คำอธิบายซ้อนเหตุผลของมุมมองว่าไม่รู้จะทำไปทำไม ก็สามารถบอกอะไรหลายอย่างกับเราได้เหมือนกัน เช่น
.
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) ยังไงก็ทำเองไม่ได้อยู่ดีเพราะเนื้อหาการบ้านยากเกินที่สอนในห้อง’
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) การบ้านง่ายเกิน ทำไปก็ไม่เห็นช่วยอะไรในชีวิต ในเมื่อง่ายขนาดนี้ก็เรียนในห้องพอแล้วไหม’
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) ทำไปครูก็ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ตั้งใจตรวจอยู่ดี’
‘(ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะ) เรียนไปก็ไม่เห็นเก็ตเลยว่ามันมีประโยชน์กับตัวเองยังไง’
.
คำตอบภายใต้คำว่าไม่รู้จะทำการบ้านไปทำไม นอกจากจะทำให้เราเริ่มเข้าใจถึงมุมมองเกี่ยวกับการบ้านของเด็ก ๆ แล้ว ยังสะท้อนให้เราเห็นว่ามันมีองค์ประกอบหลายส่วนมาก ๆ เลยที่ส่งผลทำให้เด็กคนหนึ่งไม่อยากทำการบ้าน ไม่ว่าจะทั้งตัวเนื้อหารการบ้าน โรงเรียน รวมถึงตัวของเด็กด้วย การแก้ไขปัญหานี้ที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ ในมุมมองนี้จึงอาจต้องมาจาการทำงานร่วมกันในหลาย ๆ ฝ่าย นอกเหนือจากการเวิร์คกับตัวเด็กด้วยเช่นกัน
.
แต่ถ้าพูดในพาร์ทการเวิร์คกับตัวเด็ก ส่วนตัวคิดว่า ‘การส่งเสริมให้เด็กหาความหมายของการทำการบ้านของตัวเอง’ ดูเป็นสิ่งที่สำคัญมากเหมือนกันกับเคสนี้ เพราะหากเขาตอบได้ว่าการทำการบ้านคืออะไรสำหรับตัวเอง แบบที่ไม่จำเป็นต้องสวยหรู ดูเด็กดี เหมือนที่ค่านิยมเขาพูดกัน เช่น คือการทำหน้าที่บางอย่างให้เสร็จจะได้ไปทำในสิ่งที่อยากทำ หรือคือสัญลักษณ์ของความพยายามของตนเอง ไม่ว่าเราจะเจออุปสรรคภายนอกเกี่ยวกับการบ้านเข้ามาก็ตาม อย่างน้อยที่สุดเรายังพอที่จะมีแรงจูงใจภายในทำมันต่อไปได้บ้างจนเสร็จ เพราะอย่างน้อยที่สุด การทำการบ้านมันเริ่มมีความหมายอะไรบางอย่างต่อเราแล้ว
.
ปัจจัยด้านร่างกายและสุขภาพจิต – อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การไม่ทำการบ้านสามารถเป็นเรื่องของปัจจัยทางร่างกาย สมอง หรือสุขภาพจิต ที่ส่งผลทำให้เขามีพฤติกรรมแบบนี้ได้ด้วยเช่นกัน
.
ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องสมาธิสั้น (Attention-Deficit and Hyperactivity Disorder: ADHD) ก็สามารถมีส่วนทำให้เด็กไม่ทำการบ้านได้เหมือนกัน โดยอาจอธิบายได้ว่าที่เด็กไม่ทำการบ้านเป็นเพราะการทำการบ้านต้องใช้สมาธิสูงและต้องนิ่งพอสมควร การทำการบ้านจึงอาจเป็นเรื่องยากที่เข้าใจได้สำหรับเด็กที่มีความวอกแวกง่ายเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เขาเลยอาจชอบหลีกเลี่ยงหรือไม่ค่อยเต็มใจที่จะทำการบ้านเท่าไหร่ (เพราะมันยาก ต้องใช้ความพยายามสุด ๆ) ยิ่งถ้าเป็นการบ้านที่ต้องทำเป็นรายงาน จะยิ่ง say no ง่ายมากเลย อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมอาการอื่น ๆ ประกอบร่วมกันด้วยถึงจะทราบว่ามีปัญหาสมาธิสั้นจริงไหม เพราะฉะนั้นหากผู้ปกครองท่านใดรู้สึกสงสัย สามารถเข้ามาพบผู้เชี่ยวชาญเบื้องต้นได้เลยเพื่อประเมินและวินิจฉัย เพื่อที่หากพบว่ามีภาวะของโรคจริง ๆ จะได้รีบช่วยเหลือลูก ๆ เราเลยตั้งแต่เนิ่น ๆ
.
อ้างอิง
นันทวัช สิทธิรักษ์. (2558). จิตเวช ศิริราช DSM-5. (3). สำนักพิมพ์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยมหิดล
Hinchey, P. (1996). Why kids say they don't do homework. The Clearing House, 69(4), 242-
245.
Xu, J. (2013). Why do students have difficulties completing homework? The need for
homework management. Journal of Education and Training Studies, 1(1), 98-105.
Positive Parenting Anywhere Anytime มาเลี้ยงลูกเชิงบวกกับ 'เน็ตป๊าม้า' หลักสูตรออนไลน์สอนเทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก
Empower Families, Enrich Societies
เสริมพลังครอบครัว, สร้างพลังสังคม
#เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก #เลี้ยงลูกเชิงบวก
#NetPAMA #4ปีเน็ตป๊าม้า #จากผู้เรียนสู่ผู้สร้าง

เน็ตป๊าม้า ขอแนะนำหลักสูตรออนไลน์ สอนเทคนิคเชิงบวกในการปรับพฤติกรรมเด็ก
คอร์สเร่งรัด
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่มีพื้นฐานการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกอยู่แล้ว
แต่ต้องการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเด็กที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
คอร์สจัดเต็ม
เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเรียนรู้และฝึกใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็ก
อย่างเป็นขั้นบันได เพื่อเตรียมพร้อมที่จะนำไปรับมือกับปัญหาพฤติกรรมเด็ก
อย่างมั่นใจ