window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag(){dataLayer.push(arguments);} gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-HT69D45H8X');

‘การปรับตัว ความไม่เข้าพวก และความมั่นใจในตัวเอง’

เมื่อ 1 วันที่แล้ว
‘การปรับตัว ความไม่เข้าพวก และความมั่นใจในตัวเอง’ – บทเรียนตัวอย่างช่วยทำความเข้าใจความสำคัญของอิทธิพลทางสังคมต่อวัยรุ่น จากหนังแม่มดน้อยสุดน่ารักตลอดกาล ‘แม่มดน้อยกิกิผจญภัย (Kiki’s Delivery Service)’ บทความโดย #คุณนายข้าวกล่อ
.
‘ทำไมลูกต้องแคร์สายตาเพื่อนขนาดนั้น?’ – นี่คงเป็นคำถามสำหรับพ่อแม่บางคนเวลาลูกวัยรุ่นของเราเจอเหตุการณ์ทะเลาะหรือไม่ถูกกับเพื่อน แล้วเห็นลูกดูมีสีหน้าเครียด กังวล ไม่สบายใจเอามาก ๆ จนบางทีไม่เป็นอันเรียน หรือเริ่มส่งผลทำให้การเรียนของลูกเราแย่ลง ซึ่งนั่นก็อาจทำให้ผู้ปกครองบางท่านหงุดหงิด กลุ้มใจ และไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะช่วยเหลือลูกเรายังไง
.
วันนี้ #คุณนายข้าวกล่อง เลยอยากพาทุกคนมาทำความเข้าใจในประเด็นนี้กันเพิ่มเติม เพื่อเราจะได้เข้าใจว่าเพราะอะไรวัยรุ่นถึงให้ความสำคัญกับเรื่องเพื่อน หรือสังคมภายนอกที่ไม่ใช่สังคมครอบครัวมากมายเหลือเกิน (จนทำเราชาวผู้ปกครองหลายคนแอบน้อยใจ) เพราะนอกจาก #การเป็นวัยรุ่นมันยาก เพราะต้องปรับตัวกับสภาพร่างกายและฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอิทธิพลจากสังคมรอบข้างก็สามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตของพวกเขาได้ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
.
เพราะถ้าพูดกันในมุมมองจิตวิทยา การเติบโตในวัยนี้ก็เหมือนเป็นบททดสอบกลาย ๆ สำหรับวัยรุ่นที่กำลังฟอร์มตัวตนเพื่อจะทดสอบว่า ‘เราสามารถเป็นตัวเองแบบที่สังคมยอมรับเราได้จริง ๆ ไหม’ ในช่วงเวลานี้เด็กวัยรุ่นเลยจะเริ่มให้ความสนใจกับสังคมอื่นนอกเหนือจากครอบครัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสังคมเพื่อน ทำให้เริ่มแคร์สายตาของคนอื่นมากขึ้น เพื่อเรียนรู้ที่จะปรับตัว ทำให้สุดท้ายแล้วได้กลายเป็นที่ยอมรับในสังคมที่ตนอยู่ (แบบที่ยังเป็นตัวเองด้วย)
.
ซึ่งเรื่องราวของแม่มดน้อยอย่าง ‘การผจญภัยของแม่มดน้อยกิกิ (Kiki’s Delivery Service)’ จากค่ายหนังญี่ปุ่นฝีมือยอดเยี่ยมตลอดกาล The Studio Ghibli ถือเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่สามารถเล่าถึงอิทธิพลทางสังคมที่ส่งผลต่อการเติบโตของวัยรุ่นได้ดีมากเช่นกัน เพราะหนังสามารถถ่ายทอดถึงอุปสรรคของการปรับตัว รวมไปถึงความรู้สึก ‘ไม่เข้าพวก’ ของเธอได้ดีมากจริง ๆ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่วัยรุ่นหลายคน (รวมไปถึงพวกเราเองที่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน) คงต้องเคยสัมผัส และเข้าใจดีเหมือนกันว่ามันส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก หรือการใช้ชีวิตของเรามากเพียงใด
.
[เนื้อหาต่อจากนี้มีการสปอยล์]
.
เรื่องราวของแม่มดน้อยกิกิเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องชีวิตของเด็กผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความสดใส ใจดี และไร้เดียงสาวัย 13 ปีกับแมวดำพูดได้หรือ ‘จีจี้’ ที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองบนโลกกว้าง เนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในบททดสอบของเธอเพื่อฝึกฝนให้กลายเป็นแม่มดมืออาชีพ ซึ่งแม้ว่าคุณแม่ของเธอจะมีความเป็นกังวลเพราะยังไม่ได้เตรียมตัวเธอให้พร้อมกับโลกแห่งความเป็นจริงสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความไร้เดียงสาและการมองโลกในแง่ดีสุด ๆ ของกิกิ เธอจึงไม่ได้มีความกังวลแม้แต่น้อย และพร้อมที่จะออกไปท่องโลกกว้างแบบสุด ๆ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า ‘การต้องอยู่ด้วยตัวเองจริง ๆ’ มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรือตื่นเต้นอย่างที่คิด
.
ด้วยความมั่นใจของเธอเต็มร้อย หลังจากที่ผ่านมรสุมพายุและได้เจอกับเมืองใหญ่ติดทะเลอันสวยงามตรงกับที่เธอเคยวาดฝันอยากใช้ชีวิตอยู่ กิกิจึงบังคับไม้กวาดของเธอเพื่อบินลงไปสำรวจเมือง พร้อมกับส่งยิ้มให้ผู้คนในเมืองเพื่อสร้างความประทับใจแรกต่อพวกเขาระหว่างทางอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยรู้ว่าชีวิตภายนอกเป็นอย่างไร การสร้างความประทับใจแรกของเธอต่อผู้คนจึงไปได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก เพราะมันดันกลับทำให้เกิดอุบัติเหตุทางจราจรบนถนนจนทำให้ตำรวจเข้ามาเรียกหมายจับ รวมถึงสีหน้าของผู้คนในเมืองก็ดูมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ เมื่อเธอพยายามจะทักทายและแนะนำตัวต่อพวกเขา สิ่งนี้เลยทำให้เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่า การอาศัยอยู่ในเมืองนี้ได้คงไม่ได้สวยหรูและน่าสนุกอย่างที่คิด เหตุการณ์นี้ทำให้เธอดาวน์ไปจนถึงช่วงเย็น และเริ่มหมดหวังกับการอาศัยอยู่ในเมืองนี้จนทำให้เธอเริ่มคิดอยากออกไปหาเมืองอื่นอยู่แทน
.
แต่ด้วยความใจดีของเธอ สิ่งนั้นเลยทำให้เธอมาพบกับคุณ ‘โอโซโนะ’ หญิงสาวเจ้าของร้านขนมปังที่รู้สึกชื่นชมเธอที่ช่วยเหลือเขาในการนำจุกนมที่ลูกค้าลืมไว้ไปส่งคืนให้ และหลังจากโอโซโนะได้คุยกับกิกิและพบว่าเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก โอโซโนะจึงยื่นข้อเสนอให้กิกิมาอยู่อาศัยที่บ้านกับเธอ
.
“หนูรู้สึกว่าคนในเมืองนี้ดูไม่ค่อยชอบแม่มดสักเท่าไหร่” กิกิกล่าวกับโอโซโนะด้วยความสิ้นหวัง
“เมืองใหญ่แบบนี้ก็มีคนหลายประเภทแหละจ่ะ ดูอย่างฉันสิ ฉันน่ะชอบเธอมากเลยนะ” โอโซโนะกล่าว
.
“จีจี้ ฉันตัดสินใจว่าจะลองอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ต่อสักพักแหละ ไม่แน่เราอาจเจอคนดี ๆ อย่างคุณโอโซโนะ และคนอื่น ๆ ที่ชอบฉันและยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็นก็ได้” กิกิพูดกับแมวดำของเธอก่อนที่จะนอนพักผ่อนในห้องใต้หลังตาของบ้านคุณโอโซโนะ
.
เหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้กิกิเริ่มกลับมามีแรงฮึบในการใช้ชีวิต และทำให้เธอตั้งใจช่วยคุณโอโซโนะทำงานอย่างหนัก รวมถึงผลักดันทำให้เธอตัดสินใจเปิดธุรกิจส่งของด้วยการขี่ไม้กวาดของเธอ เพื่อหารายได้ดูแลตัวเธอเอง ซึ่งในระหว่างการทำงานก็ทำให้เธอต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย รวมถึงได้เจอผู้คนที่หลากหลาย ทั้งบางคนที่นิสัยดี และบางคนที่นิสัยไม่ค่อยดี อย่างเช่นคุณยายสุดน่ารักคนหนึ่งที่ตั้งใจจะทำพายเพื่อให้กิกินำส่งไปให้หลานสาวเพื่อฉลองวันเกิด แต่หลานสาวกลับไม่สนใจใยดี พร้อมกับดูถูกพายของหล่อนอย่างมาก
.
แต่เหนือสิ่งอื่นใด แม้ว่าเธอจะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ มาได้ หรือได้พบเจอกับคนดี ๆ มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ยังคงคาใจของเธออยู่มาจนถึงตอนนี้ ก็คือความรู้สึกของความ ‘ไม่เข้าพวกกับเพื่อนรุ่นเดียวกันของเธอ’ เพราะพอเธอต้องอาศัยอยู่ด้วยตัวเอง เธอเลยต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ทำให้ไม่มีเวลาไปทำความรู้จักเพื่อนใหม่ในเมือง ที่ส่วนใหญ่จะยังไม่ทำงานกัน และสามารถจะขับรถไปเที่ยวเล่น หรือแต่งตัวสวย ๆ งาม ๆ ได้เพราะมีเงินใช้จากพ่อแม่
.
ทุกครั้งที่กิกิเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้ารองเท้าสวย ๆ เธอจะมักจะมองชุดอยู่หน้าร้านด้วยสายตาเศร้า ๆ หรือในโมเมนต์ที่เธอต้องเดินผ่านแก๊งเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ เธอจะพยายามเดินผ่านหรือทำเป็นไม่สนใจกลุ่มเด็กเหล่านั้น และแม้ว่าในช่วงหลังทอมโบ หนุ่มน้อยที่ครั้งหนึ่งเคยเจอเธอและชื่นชอบเธอมาก จะพยายามเข้าหาและจีบเธอจนเธอเริ่มเปิดใจทำความรู้จักในฐานะเพื่อน แต่เนื่องด้วยเขาก็มีเพื่อนที่เป็นแบบนั้น พอทอมโบจะพาให้กิกิไปทำความรู้จักเพื่อนของเขา ความรู้สึกไม่เข้าพวกจึงกลับมาหากิกิอีกครั้ง ทำให้เธอตัดสินใจออกห่างจากทอมโบ และเริ่มค่อย ๆ สูญเสียความมั่นใจในตัวเองลง และหลังจากเหตุการณ์นั้น จู่ ๆ เธอก็เริ่มสูญเสียพลังในการขี่ไม้กวาดไปชั่วขณะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลยทำให้เธอดิ่งและเสียศูนย์ เพราะเธอก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าเพราะอะไรพลังของเธอถึงหายไป และเหตุการณ์นี้ทำให้เธอจำต้องหยุดธุรกิจการส่งของไปชั่วขณะ
.
แต่โชคยังดีที่ในระหว่างนั้นเพื่อนที่เธอดันไปรู้จักระหว่างการทำงานส่งของหรือเออร์ซูล่า ศิลปินนักวาดรูป ได้เข้ามาเยี่ยมเธอที่บ้าน และเมื่อเธอรู้ว่ากิกิกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ เธอเลยตัดสินใจพากิกิออกมาพักผ่อนที่บ้านของเธอแทน รวมถึงได้พูดคุยให้กำลังใจทำให้กิกิเริ่มรู้สึกดีขึ้น
.
“ฉันเคยชอบวาดรูปมาก ๆ ฉันเคยวาดมันได้ทั้งวันทั้งคืน แต่จู่ ๆ ฉันก็วาดภาพไม่ได้โดยไม่มีสาเหตุ ฉันพยายามวาดต่อแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย”
“จนสุดท้ายฉันมาตระหนักได้ว่าฉันวาดไม่ได้เพราะแค่วาดภาพเลียนแบบจิตรกรคนอื่น แค่วาดเลียนแบบภาพที่เคยเห็น ฉันเลยสาบานว่าจะวาดภาพขึ้นมาเองให้ได้”
“หลังจากนั้น แม้ว่าเส้นทางมันจะไม่ได้ง่ายเท่าไหร่ แต่สุดท้ายฉันก็พอเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าการวาดภาพมันมีความหมายอย่างไรสำหรับฉัน”
.
จากบทสนทนานี้เลยทำให้กิกิกลับมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลจิตวิญญาณของการเป็นแม่มดของตัวเองมากขึ้น และถึงแม้ว่าหลังจากการฮีลใจนั้นจะไม่ได้ทำให้พลังของเธอกลับมาเลยเสียทีเดียว แต่มันก็ค่อย ๆ รวมร่างกลับมาประกอบกันได้ใหม่อย่างช้า ๆ เพราะเธอเริ่มเห็นว่าการเป็นตัวเธอที่มีจิตใจดีชอบช่วยเหลือคนอื่น มันสร้างความหมายต่อผู้อื่นและตัวเธอ สิ่งนี้เลยเป็นเครื่องยืนยันทำให้เธอกล้าที่จะใช้มันนำทางในการใช้ชีวิตมากขึ้น และทำให้พลังความเป็นแม่มดของเธอค่อย ๆ กลับคืนมา
.
เอาจริง ๆ สุดท้ายหลังจากที่ได้ดูหนังและเขียนเรื่องรางชีวิตของแม่มดน้อยกิกิมาทั้งหมด message บางอย่างของหนังยังทำเอาคุณนายข้าวกล่องแอบจุกอกอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
.
เพราะการที่เราสามารถกลับมาชื่นชมหรือเชื่อมั่นในความเป็นตัวเอง (การเป็นแม่มดของกิกิ) ที่อาจดูแตกต่างกับคนอื่น (เด็ก ๆ หรือคนอื่นในเมืองใหม่ที่กิกิอาศัยอยู่) ก็ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับวัยรุ่น รวมไปถึงผู้ใหญ่อย่างเราเองเหมือนกัน เพราะในวันที่เราเห็นตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น ถ้าวันนั้นใจเรายังไม่แข็งแรง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดีพอ หรือลืมไปว่าเราแต่ละคนก็มีดี มีความคิดเห็น และมีตัวตนที่แตกต่างกันได้เป็นธรรมดา มันก็ปฏิเสธยากเหมือนกันที่เหตุการณ์นี้จะทำให้เราในฐานะผู้ใหญ่ก็รู้สึกเขวและไม่เชื่อมั่นในตัวเองได้เหมือนกัน เพราะบางทีเมื่อเราอยู่ในสังคมที่ทำให้เรารู้สึกเป็นแกะดำอยู่บ่อย ๆ มันก็คงเข้าใจได้เหมือนกันที่เราจะถามกับตัวเองว่า “ฉันมาทำอะไรตรงนี้วะ?”และเริ่มรู้สึกตัวเล็กลง เล็กลง และเล็กลง...
.
แล้วให้ลองจินตนาการว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเด็กไร้เดียงสา ที่กำลังอยากแสวงหาความ fit in และกำลังเริ่มเห็นโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้นจากที่พลังกายเริ่มส่งเสริมให้เขาสามารถดูแลตัวเองได้ สิ่งนี้คงกลายเป็นเรื่อง sensitive ต่อพวกเขาไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน เพราะมันคงทำให้เขาได้รู้จักโลกจริง ๆ ว่า ‘มันก็อาจไม่ได้สวยหรูอย่างที่เราคิด เพราะมีคนหลากหลายที่แตกต่างจากเราเต็มไปหมดเลย’
.
และถึงแม้เราในฐานะผู้ใหญ่จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะเป็นไฟลท์บังคับที่ทุกคนจะต้องเจอ เรียนรู้ ปรับตัวผ่านมันไปในสักวันหนึ่งอยู่ดี จนบางทีเราอาจมองว่ามันกลายเป็นเรื่องเล็กที่ไม่สมควรจะเอฟเฟกต์กับเรามาก แต่หากกิกิไม่ได้เจอคนดี ๆ ที่ค่อยช่วยเหลือหรือสนับสนุนความเป็นตัวเธอ ไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวจากคุณพ่อคุณแม่ที่ทำให้เธอมีจิตใจหรือการมองโลกในแง่ดี ที่สุดท้ายส่วนตัวมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอเริ่มกลับมามองหาคุณค่าและความหมายของตนเอง และทำให้เริ่มสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ในที่สุด ส่วนตัวคิดว่ามันก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับเหล่าวัยรุ่นไม่น้อยเหมือนกันที่จะเรียนรู้และปรับตัวต่อไปได้
.
‘การปรับตัวเป็นเรื่องยากที่เข้าใจได้ และความไม่เข้าพวกก็เป็นสิ่งที่ sensitive สำหรับพวกเขาอย่างเข้าใจได้เช่นกัน’ (และในบางที พวกเราในฐานะผู้ใหญ่ ก็ยังพะวงกับการไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมอยู่บ้างเลย เพราะฉะนั้น มันก็อาจเข้าใจได้เหมือนกันไหมที่เด็กวัยรุ่นจะรู้สึกกังวลเหมือนที่เรารู้สึก) – นี่คงเป็น message ในการปรับ mindset เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นให้เราค่อย ๆ ทำความเข้าใจและ normalize อารมณ์ของทั้งเราและลูก และนำไปสู่การหาแนวทางแก้ไขร่วมกันกับลูกอย่างเหมาะสมต่อไป
.
และหากใครต้องการเครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อช่วยเสริมทักษะในการเลี้ยงลูก ทำให้เราสามารถช่วยลูกของเราได้ในวันที่เขามีปัญหา สามารถเข้ามาเรียนรู้เพิ่มเติมต่อได้ฟรีที่ www.netpama.com
.
หมวดหมู่ทั้งหมด

NET PAMA