window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag(){dataLayer.push(arguments);} gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-HT69D45H8X');

ทำความเข้าใจความโหดร้ายของเด็กผ่าน 'ออบสเคียรัส (Obscurus)'

เมื่อ 1 วันที่แล้ว
ทำความเข้าใจความโหดร้ายของเด็กผ่าน 'ออบสเคียรัส (Obscurus)' – #WatchAndLearn จากสัตว์ประหลาดในโลกเวทมนตร์ยุคก่อนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ‘Fantastic Beasts and Where to Find Them’ บทความโดย #คุณนายข้าวกล่อง
.
ถึงแม้ภาพยนตร์พ่อมดแม่มดสุดฮิตเจ็ดภาคอย่าง Harry Potter (แฮร์รี่ พอตเตอร์) จะสร้างประวัติการณ์จารึกว่าเป็นหนึ่งในหนัง legend ของพวกเรา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังไตรภาคที่เล่าเรื่องอดีตกาลก่อนยุคพ่อมดแฮร์รี่จะเกิด ที่ย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ศาสตราจารย์ดัมเบิ้ลดอร์ (Albus Dumbledore) ยังเป็นหนุ่มแน่น อย่าง ‘Fantastic Beasts (สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่)’ ก็ถือเป็นหนังคุณภาพคับแก้ว ที่ส่วนตัวมองว่าภาคแรกของหนังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับสัตว์มหัศจรรย์ของพ่อมดตัวเอก Newt Scamander (นิ้วต์ สกาแมนเดอร์) นอกจากจะทำหน้าที่ปูเรื่องและตัวละครสำหรับภาคต่อได้อย่างน่าติดตามแล้ว หนังยังส่งเมสเสจดี ๆ อย่างเรื่องการกีดกันคนชายขอบของสังคมของมนุษย์ (Discrimination) ได้อย่างดีมากเช่นกัน
.
และอีกหนึ่งเมสเสจที่คุณนายข้าวกล่องชอบและมองว่าดูมีประโยชน์สำหรับพวกเราชาวผู้ปกครอง นั่นก็คือการอธิบายถึงการเกิด ‘Obscurus (ออบสเคียรัส)’ หนึ่งในสัตว์ประหลาดรูปร่างดำทะมึน ที่เต็มไปด้วยพลังด้านมืด ทำให้มันถือเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลกเวทมนตร์ยุคนั้น ซึ่งนั่นทำให้ตัวร้ายของหนังหรือ Grindelwald (กรินเดลวัลด์) พยายามตามล่าเพื่อหวังจะใช้เป็นเครื่องมือในการครอบครองโลกและแก้แค้นเหล่ามนุษย์ผู้ไร้ซึ่งเวทมนตร์อย่างโนแมจ ที่กดขี้ผู้มีเวทมนตร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
.
แต่ความน่าสนใจมากก็คือ สัตว์ประหลาดนี้ไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็เกิดมาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ประหลาดตนอื่นในหนัง แต่มันเป็นพลังด้านมืดที่มักจะเกิดขึ้นในพ่อมดแม่มดที่อายุไม่เกินสิบขวบ ซึ่งสาเหตุที่พลังด้านมืดนี้เกิดขึ้นมาจากการที่กลุ่มเด็กเหล่านี้ต้องพยายามกดทับหรือซ่อนเวทมนตร์ของตัวเองในสมัยอดีตเพื่อหลบหนีจากการถูกสังหารโดยเหล่าโนแมจ เพราะพวกเขาถือว่าผู้วิเศษแตกต่างจากตนเกินไปและเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ การกบทับพลังเวทย์นี้เลยส่งผลทำให้เด็กมีปัญหาในการควบคุมพลังของตัวเอง และสิ่งนี้เลยถูกเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังที่สุดของยุค เพราะตัวมันไม่มั่นคงแต่มีความรุนแรง และมักจะจู่โจมต่อสู้ใครก็ตามที่เข้าใกล้มัน
.
และแม้ว่าโดยส่วนมากออบสคีเรียลจะมีอายุสั้นและหายไปได้เองหลังจากสิบขวบ แต่ในเคสของครีเดนซ์ แบร์โบน (Credence Barebone) เด็กชายวัยรุ่นอายุ 18 ปีไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเขาถือว่าเป็นพ่อมดผู้มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีออบสเคียรัสอยู่ในตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าออบสเคียรัสนี้ก็ใหญ่และมีความรุนแรงมากที่สุดเช่นกัน
.
ซึ่งหากย้อนไปดูประวัติของเด็กชายครีเดนซ์ เขาคือเด็กกำพร้าผู้เติบโตมากับแมร์รี่ ลู แบร์โบน (Mary Lou Barebone) คุณแม่อุปถัมภ์ในสถานเด็กกำพร้าและหัวหน้าชมรมพ่อมดแม่มดเซเล็ม ที่เป็นกลุ่มโนแมจผู้มีจุดมุ่งหมายจะปราบเหล่าพ่อมดแม่มดให้สิ้นซาก คุณแม่แมร์รี่เลยเป็นบุคคลที่เกลียดพ่อมดแม่มดเข้าไส้ จนถึงขนาดสร้างบทกลอนให้ลูกเลี้ยงของเธอท่องไว้เพื่อปลูกฝังความเกลียดชังในเหล่าพ่อมดแม่มดเลยทีเดียว (ซึ่งแน่นอนบทกลอนคือโหดและหลอนมากค่ะ)
.
และแม้ว่าคุณแม่แมร์รี่ของเราจะใจบุญเลี้ยงเด็กกำพร้ามาถึงทั้งหมด 12 คน แต่ครีเดนซ์ดูเหมือนจะเป็นลูกชังที่สุดของคนในบ้าน ทำให้เวลาเขาทำอะไรไม่ถูกใจแมร์รี่ เธอจะเฆี่ยนตีเขาด้วยเข็มขัดอยู่ตลอด สิ่งนี้เลยทำให้ครีเดนซ์โหยหาซึ่งความรักและการยอมรับมาก รวมถึงทำให้เขาบุคลิกที่ดูแปลกแยกจากสังคม (เดินตัวงอ ห่อเหี่ยว น่าเศร้าตลอดเวลา) จนทำให้เขาถูกสังคมโนแมจเองเหยียดอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาในเรื่องสมัยนั้นหรือเฮนรี่ ชอว์ (Henry Shaw) ด้วยเช่นกัน
.
การถูกกีดกันจากสังคมมนุษย์ปกติ รวมถึงการถูกทำร้ายจากคุณแม่อุปถัมภ์ ทำให้ครีเดนซ์รู้สึกเก็บกด และพยายามกดทับพลังวิเศษของตัวเองไว้ จนสุดท้ายเขาก็ทนความเจ็บปวดรวดร้าวนี้ไม่ไหวจนระเบิดมันออกมาเป็นออบสเคียรัส พลังด้านมืดที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น จนถึงขั้นที่สามารถออกไปฆ่าเฮนรี่ ชอว์ ได้ รวมไปถึงชีวิตของคุณแม่ตัวเองด้วยหลังจากที่เธอเข้าข้างน้องสาวกำพร้าของเขามากกว่าตัวเขาเอง
.
ซึ่งหากเราลองเอาเจ้าออบสเคียรัสมาเปรียบเปรยในชีวิตจริง สัตว์ประหลาดนี้คงเป็นตัวแทนของการอธิบายได้ถึง ‘ความเจ็บปวดที่กลายเป็นความเคียดแค้นของเด็กคนหนึ่ง’ จากการที่เขาไม่ถูกยอมรับในสังคม รวมไปถึงถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจากคนในครอบครัวเอง ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าของเรื่องหรือคุณเจ เค โรลลิ่ง (J.K. Rowling) ต้องการสื่อให้เห็นเช่นกัน โดยเธอตั้งใจจะสื่อเมสเสจในเรื่องของ Trauma หรือการบาดเจ็บทางจิตใจของบุคคลที่ถูกกีดกันและทำร้ายเพียงแค่เพราะมีลักษณะที่แตกต่างจากสังคม
.
ซึ่งในเคสของครีเดนซ์ นอกจากจะถูกสังคมโนแมจกีดกันด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าสังคมเวทมนตร์ส่วนใหญ่เองก็ดูจะไม่เข้าใจถึงคอนเสปต์ของการเกิดสัตว์ประหลาดแสนโหดร้ายนี้สักเท่าไหร่เช่นเดียวกัน ทำให้พวกเขาเองก็กลัว และอยากที่จะกำจัดเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ให้สิ้นซากเหมือนกัน ซึ่งถ้าให้เราลองจินตนาการตัวเองเป็นเด็กชายครีเดนซ์.....มันก็คงเข้าใจได้ที่เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยว เศร้า และเปราะบางไม่น้อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน ดูเหมือนทุกคนบนทั้งสองโลก ก็ดูจะไม่ยอมรับเขาไปหมดเลย
.
เด็กคนนี้ดูน่าสงสารมากเลยว่าไหมคะ ☹
.
แต่พ่อมดผู้เป็นพระเอกของเราอย่างนิ้วต์ รวมถึงแม่มดสาวนักปราบมารอย่างทีน่า โกลด์สตีน (Tina Goldstene) ดูจะเป็นข้อยกเว้นของกลุ่มพ่อมดแม่มดส่วนใหญ่ที่คิดจะกำจัดออบสเคียรัส โดยเฉพาะพ่อมดนิ้วต์ ที่เขาตั้งใจจะศึกษาเหล่าสัตว์ประหลาดพวกนี้อย่างจริงจัง รวมไปถึงเจ้าออบสเคียรัสด้วย ซึ่งเมื่อล่าสุดนิ้วต์เองก็ได้พบเจอมันอยู่ในร่างของแม่มดหญิงวัย 8 ขวบที่ซูดาน ซึ่งเขาก็สามารถช่วยแม่มดเด็กหญิงคนนั้นจากออบสเคียรัสได้ด้วยการแยกสัตว์ประหลาดนี้ออกมาจากตัวเด็กจนสำเร็จ และเก็บเจ้าออบสเคียรัสใส่กระเป๋าคู่ใจมาเพื่อนำมาศึกษาทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตตัวนี้ต่อไป
.
เมสเสจในหนังเรื่องนี้ให้อะไรกับเราในฐานะผู้ปกครอง?
.
ความโหดร้ายของเด็กหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่คนหนึ่ง มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดที่ไม่มีทางจะสามารถแก้ไขได้ หรือถ้าเราพูดเป็นภาษาอังกฤษ เราคงพูดได้ว่า ‘No one’s born bad’
.
แต่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นคนโหดร้าย หรือเต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนกลายเป็นคนที่ดูน่ากลัวเพราะกล้าทำร้ายคน ๆ หนึ่งได้ลงคอ มันเป็นเพราะลึก ๆ แล้วคนกลุ่มนี้เจ็บปวดและเปราะบางมากต่างหาก เพราะเขาได้พบเจอแต่ประสบการณ์ที่เลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่โดนคนอื่นรังเกียจ ทำร้าย หรือเหยียดหยาม ไปจนถึงประสบการณ์ที่ไร้ซึ่งบุคคลที่รักเขา หรือเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว หันซ้ายหันขวาไปก็ไม่เจอใครที่สามารถไว้ใจหรือซัพพอร์ตจิตใจเขาได้เลย
.
แต่ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ความโหดร้ายนี้ค่อย ๆ เบาลง ทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดนี้ค่อย ๆ สงบลง และอาจหายไปได้ที่สุด อาจเริ่มต้นมาจากการเห็นอกเห็นใจ (empathy) ค่อย ๆ ปลอบประโลมและทำความเข้าใจกับก้อนความโหดร้ายนี้อย่างใจเย็นและอ่อนโยน แทนที่จะผลักใสมันไปไกล ๆ หรือยิ่งทุบตีมันให้หลาบจำ เหมือนกับที่นิ้วต์สามารถแยกเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ออกจากตัวเด็กแม่มดเด็กหญิงคนนั้น เพราะเขาอธิบายว่าเจ้าออบสเคียรัสนี้ก็เหมือนพวกปรสิต ที่หากตัว host หรือเจ้าของร่างไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อการเติบโตมากพอ มันก็เป็นได้แค่เพียงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่อ่อนกำลังลงเท่านั้น
.
ซึ่งถ้าหากลองนำมาเปรียบเทียบกับโลกความเป็นจริง ความเจ็บปวดหรือบาดแผลทางจิตใจจากเหตุการณ์อดีตที่เลวร้าย มันก็คงสามารถค่อย ๆ ฮีลได้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยน และการสร้างความเชื่อมั่นต่อเด็กว่า ‘เขาเป็นที่รักและสามารถจัดการตัวเองได้’ กลายเป็นเด็กน้อยที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลังจากความรัก ได้เฉกเช่นเดียวกัน
.
และถึงแม้ว่าเหตุการณ์การทำร้ายคนอื่นจนถึงขั้นฆ่าคนคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูก ๆ ของเรา แต่เมื่อใดที่เขาเริ่มแสดงความโกรธ ความหงุดหงิด หรือพฤติกรรมต่อต้านก้าวร้าวกับเรา เพื่อน หรือในสังคมอื่น ๆ การปรับ mindset ว่า no one’s born bad และค่อย ๆ ใช้ความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยน หรือการมอบความรัก ความอบอุ่น หรือความปลอดภัย ก็อาจสามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าถึงความเจ็บปวดบางอย่างภายใต้การกระทำหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถนำมาไปสู่การแก้ไขหรือการลดพฤติกรรมต่อต้านหรือก้าวร้าวลงได้เช่นกัน
.
เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมที่น่ากลัวหรือแสนโหดร้ายนี้....มันคือความเจ็บปวดก้อนใหญ่ที่หนักหนาสาหัส และมันน่าสงสารมากจริง ๆ
.
และหากใครต้องการเรียนรู้หรือศึกษาถึงทักษะการเลี้ยงลูก เพื่อช่วยลดพฤติกรรมต่อต้านก้าวร้าวเพิ่มเติม สามารถมาเรียนเพิ่มเติมได้ฟรีเลยที่ www.netpama.com

#NetPAMA #เน็ตป๊าม้า #FantasticBeastsandWheretoFindThem #HarryPotter
หมวดหมู่ทั้งหมด

NET PAMA