window.dataLayer = window.dataLayer || []; function gtag(){dataLayer.push(arguments);} gtag('js', new Date()); gtag('config', 'G-HT69D45H8X');

สรุปแล้ว ‘ChatGPT’ อันตรายต่อเด็ก (และเรา) จริงไหม?

เมื่อ 16 ชั่วโมงที่แล้ว
สรุปแล้ว ‘ChatGPT’ อันตรายต่อเด็ก (และเรา) จริงไหม? – สำรวจผลกระทบจาก AI สุดล้ำที่ ‘ทำให้ได้แทบทุกอย่าง’ ต่อการทำงานของสมองในเด็กวัยเรียน #เรื่องเล่างานวิจัย - บทความโดย #คุณนายข้าวกล่อง
.
‘เดี๋ยวนี้ใช้ ChatGPT ทำการบ้านก็ได้’ – นี่คงเป็นประโยคที่อาจทำให้เราในฐานะผู้ปกครองเองคงแอบรู้สึกหวั่นใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะแม้ว่าเจ้าเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง “ChatGPT (แชทจีพีที)” จะเป็นเครื่องมือชั้นดีต่อพวกเราที่ช่วยลดภาระหน้าที่ในด้านการงาน ทำให้ชีวิตของเราสบายขึ้นได้เป็นเท่าตัวอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายแล้วหากเรานำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ในบริบทของ ‘การเรียนของเด็กในโรงเรียน’ มันก็คงแอบทำให้เรา second guess อยู่เหมือนกันว่า เทคโนโลยีชิ้นนี้มันจะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องน่ากลัวสำหรับเด็ก ๆ ของเรา โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพจิต และการเป็นเครื่องมือช่วยในด้านการเรียน (ที่ก็ไม่แน่ใจว่า ช่วยจริงไหมเหมือนกัน)
.
วันนี้ #คุณนายข้าวกล่อง เลยชวนทุกคนมาสำรวจท่องโลกใน ‘มุมมองของงานวิจัย’ กันดูว่า งานวิจัยในสายวงการจิตวิทยามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างต่อเจ้าเอไอสุดอัจฉริยะนี้ และมีผลสำรวจบอกไว้ว่าอย่างไรบ้าง เพื่อเราจะได้เข้าใจถึง impact จากมันต่อสุขภาพจิตของเด็ก ๆ ของเรามากขึ้นในหลาย ๆ มุม ทำให้เราอาจระวังหรือนำผลสำรวจนี้มาประยุกต์ใช้กับการดูแลลูกที่ดีของเราต่อไป
.
What is ChatGPT?
ก่อนอื่นส่วนตัวอาจอยากเล่าเรื่องของเอไอตัวนี้ให้สำหรับชาวผู้ปกครองของเราฟังสักหน่อย เผื่อสำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร และมีกลไกการทำงานอย่างไรกันแน่จริง ๆ
.
ChatGPT (แชทจีพีที) เป็นแชทบอท AI (ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสนทนาโต้ตอบกับเราได้) โดยผู้ใช้สามารถพิมพ์แชทสนทนาเพื่อขอให้ AI ช่วยเหลือในสิ่งที่เราต้องการ เช่น สรุปเนื้อหา ค้นหาข้อมูล อธิบายข้อมูลเพื่อให้เราเข้าใจเนื้อหามากขึ้น หรือไปจนถึงกระทั่งเขียนคำสั่งให้มันเขียนบทความ (ป.ล. แต่บทความนี้ไม่ได้เขียนโดย AI นะคะ ><) อีเมล หรือทำ task ต่าง ๆ ให้เราได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
.
โดยเกร็ดที่น่าสนใจของเจ้า AI ตัวนี้ที่ทำให้มันกลายเป็นที่นิยมมาก ก็คือนอกจากมันจะยังสามารถทำอะไรได้หลายอย่างแล้ว ตัวมันเองมีความเป็น ‘human-like’ หรือมีความคิดความอ่านเหมือนมนุษย์มาก (แนะนำให้ ChatGPT ลองแปลข้อความหรือประโยคภาษาอังกฤษเทียบกับ Google Translate จะเห็นถึงความเป็น human-like ได้อย่างชัดเจนมากเลยค่ะ) สิ่งนี้จึงทำให้ AI ตัวนี้สามารถเป็นผู้ช่วยอำนวยความให้การใช้ชีวิตของเรามันง่ายขึ้นได้จริง เพราะมัน practical มาก ๆ มากเสียจนบางทีแทบจะแยกไม่ออกเลยว่านี้คือผลงานของมนุษย์ หรือผลงานของ AI (ที่มีความเป็นมนุษย์สูงมาก)
.
ซึ่งสาเหตุที่มันมีความเหมือนมนุษย์มาก ๆ ก็เพราะว่าเจ้า AI ตัวนี้มีการพัฒนามาจากการเรียนรู้ที่ถูก shape ด้วยมนุษย์จริง ๆ ด้วย ก็คือนอกจาก AI ตัวนี้จะถูกเทรนและเรียนรู้มาจากการหาความเชื่อมโยงหรือ pattern จาก source ต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ตที่มนุษย์สรรสร้างเพื่อนำไปใช้ในการคาดเดาที่แม่นยำเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่มนุษย์ต้องการให้ตอบโจทย์การเป็น assistant กับมนุษย์แล้ว ตัว AI นี้ยังถูกค่อย ๆ ตบให้เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นจากการให้มนุษย์ช่วย re-check ด้วย เหมือนเป็นผู้คอยตรวจการบ้าน AI อีกทีว่าผลงานนี้ผ่านหรือไม่ผ่าน (กลไกนี้ชื่อว่า Reinforcement from Human Feedback หรือ RFHP หากใครสนใจสามารถศึกษาต่อได้ใน YouTube link ที่แปะไว้ในอ้างอิงด้านล่างได้เลยค่ะ)
.
ChatGPT x Mental health (in students)
กลับมาสู่หัวข้อหลักที่เราอยากจะพูดถึงกันต่อ – แล้วสรุป ChatGPT มันส่งผลอันตรายต่อสุขภาพจิตหรือการเรียนของเด็ก ๆ (aka ลูก ๆ ของเรา) ไหม?
.
งานวิจัยล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วจากห้องปฏิบัติการวิจัยของ Massachusetts Institute of Technology (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ลองสำรวจการทำงานของคลื่นสมองนักเรียนกว่า 54 ชีวิต (ตั้งแต่ม.ปลายไปจนถึงเรียนป.เอก) ในขณะที่พวกเขาเรียงความ (essay) (อ้างอิงจากโจทย์ฝึกเขียนเรียงความจากข้อสอบ SAT) ส่งทางทีมวิจัยภายในเวลา 20 นาทีด้วยวิธีการ 3 แบบ ได้แก่ แบบใช้ ChatGPT เขียนอย่างเดียว, แบบใช้ Search Engine อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ ChatGPT (เช่น Google) และแบบไม่ใช้ตัวช่วยทางเทคโนโลยีใด ๆ สำหรับการเขียนเรียงความ เพื่อเปรียบเทียบดูว่าเด็ก ๆ มีกระบวนการทำงานของสมองเป็นอย่างไรบ้างเมื่อมี AI โดยเฉพาะ ChatGPT เข้ามาเกี่ยวข้อง
.
ทางทีมวิจัยจะให้ผู้เข้าร่วมวิจัยทำ task งานเขียนทั้งหมด 4 ครั้ง (ครั้งที่ 4 เป็นการเข้าร่วมอย่างสมัครใจ) โดยผู้เข้าร่วมจะถูกสุ่มแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามวิธีการเขียนเรียงความที่กล่าวไปข้างต้น และแต่ละกลุ่มจะใช้วิธีเขียนในรูปแบบเดิมเพื่อเขียนเรียงความในทั้ง 3 ครั้งที่หัวข้อในการเขียนไม่ซ้ำกัน รวมถึงได้รับการสัมภาษณ์.และตอบคำถามหลังจากเขียนงานเสร็จทุกครั้ง
.
สำหรับในครั้งที่ 4 ทางทีมจะขออาสาสมัครจากทีมผู้เข้าร่วมงานวิจัยเดิมให้เขียนเรียงความนี้อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ทีมจะสลับสับเปลี่ยนให้ผู้เข้าร่วมวิจัยใช้วิธีการอื่น ๆ นอกเหนือจากวิธีการเดิมที่เคยใช้ในการเขียนเรียงความ เช่น หากใครเคยถูก assign ให้ใช้ ChatGPT เขียนบทความทั้ง 3 ครั้ง จะถูกเปลี่ยนวิธีการเขียนไปใช้ Seach Engine อื่น ๆ หรือไม่ใช้ตัวช่วยทางเทคโนโลยีใด ๆ เขียนเลย หรือหากใครเคยเขียนเรียงความแบบไม่มีตัวช่วยมาก่อน ก็อาจถูก assign ให้เขียนเรียนความโดยใช้ ChatGPT หรือ Search Engine อื่น ๆ โดยโจทย์ในการเขียนงานครั้งนี้ยังเป็นโจทย์เดิมที่ผู้เข้าร่วมวิจัยเคยเขียนไปแล้วใน 3 ครั้งที่ผ่าน และมีการสัมภาษณ์และตอบคำถามหลังจากเขียนงานเสร็จเช่นเดิม เพื่อที่จะได้เห็นข้อสรุปของกระบวนการทางสมองและผลกระทบจากการใช้ AI ในการช่วยเขียนเรียงความมากขึ้น
.
ซึ่งผลจากงานวิจัย ก็อาจเป็นไปตามที่หลาย ๆ คนมีสมมติฐานในใจ
.
#ผลวิจัยจากคนใช้ ChatGPT
ผลงานวิจัยพบว่าผู้เข้าร่วมงานวิจัยที่ใช้ ChatGPT เขียนมีการทำงานของคลื่นสมองที่เกี่ยวกับ executive functions (การคิดวิเคราะห์แยกแยะ รวมไปถึงการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม) การประมวลผลเพื่อสร้างความหมาย และการควบคุมความใส่ใจ (dDTF: Dynamic Directed Transfer Function) ในการทำงานน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับผู้เข้าร่วมวิจัยอีกสองกลุ่ม โดยมีการทำงานสมองในส่วนของการจัดการข้อมูลให้เป็นไประบบระเบียบร่วมกับสมองส่วนการเคลื่อนไหวเป็นหลัก และนอกจากนี้ผลยังชี้ให้เห็นว่าความถี่ของคลื่อนสมองจากการทำงานร่วมกันระหว่างสมองส่วนหน้าและข้างมีความต่ำลง ซึ่งการทำงานร่วมกันของสมองสองส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ทำให้สามารถจดจำเข้าไปในสมองจนสามารถเรียกกู้ข้อมูลกลับมาใช้ในปัจจุบันได้ สื่อให้เห็นถึงความบกพร่องและความไม่แข็งแรงของการทำงานของสมองในเรื่องนี้
.
ในส่วนของการสัมภาษณ์ กลุ่มผู้วิจัยกลุ่มนี้ไม่สามารถจำเรื่องหรือสิ่งที่ตัวเองเขียนได้เท่าไหร่ แถมเฟลในการเล่าเรื่องงานเขียนของตัวเองแทบจะทุกครั้งที่เขียนทั้งหมด 3 ครั้ง รวมถึงให้คำตอบในส่วนความรู้สึกเป็นเจ้าของของผลงานที่แตกต่างกัน (บางคนบอกเป็นผลงานตัวเองได้เลย บางคนบอกก็ไม่ใช่ผลงานตัวเองขนาดนั้น) ซึ่งตัวงานเขียนที่เกิดขึ้นจากที่ผู้เข้าร่วมวิจัยกลุ่มนี้แม้จะดูใช้ภาษาเขียนที่ดีเหมือน human-like แต่งานเขียนจะดูมีความกลาง ๆ ไม่มีเอกลักษณ์หรือโดดเด่นไปทางใดทางหนึ่ง หรือ quote สั้น ๆ จากคุณครูภาษาอังกฤษที่ได้ดูเรียงความของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ คือมีความ ‘soulless (ไร้จิตวิญญาณ)’ ในการเขียนมาก ๆ
.
ผลการทำงานของสมองจึงสนับสนุนการวิเคราะห์แบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า ผู้เข้าร่วมกลุ่มไม่ค่อยใช้ความคิด หรือสรรสร้างงานเขียนจากความสามารถของตัวเองเท่าไหร่ โดยพวกเขาเพียงแค่รู้กระบวนการที่จะนำมาซึ่งงานเขียน และใช้การทำงานร่วมกันระหว่างสมองกับร่างกาย (การพิมพ์เรียงความ) รวมถึงพึ่งพิงการสรรสร้างงานเขียนจาก AI เพื่อส่งทีมวิจัยเป็นหลักเท่านั้น แถมงานวิจัยชี้ให้เห็นด้วยว่าพวกเขาดูพึ่งพิง AI มากขึ้นด้วยเมื่อทำ task ในครั้งถัดๆ ไป คือพูดได้เลยว่าแทบจาก ‘ก็อปแล้ววาง’ งานวิจัยเพื่อส่งเลย โดยแรงกระตุ้นที่ทำให้พวกเขาทำเช่นนี้เป็นเพราะความกดดันในเรื่องเวลาส่วนหนึ่ง กับอีกส่วนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าพวกเขาดูจะขี้เกียจใช้ความสามารถตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากการใช้ AI ช่วยทำงานด้วย
.
นอกจากการทำงานของสมองที่น้อยอย่างมีนัยสำคัญ ผลงานวิจัยยังแปลได้อีกว่าผลกระทบจากการใช้ ChatGPT เขียนงานอาจส่งผลทำให้ผู้เขียนไม่ได้มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นเจ้าของต่อไอเดียในงานเขียนเท่าไหร่ แถมยังจำไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำว่าเขียนเรื่องอะไรส่งไปให้ทีมวิจัย เพราะกระบวนการนี้ไม่ได้ทำให้บุคคลสามารถสร้างประสบการณ์ด้วยตนเองมากพอที่จะจดจำเข้าไปในเนื้อในตัวอย่างมีประสิทธิภาพและมีความหมาย จนสามารถนำเอากลับมาเล่าให้คนอื่นฟังใหม่ในปัจจุบันไม่ได้ รวมถึงมีการเรทความเป็นเจ้าของของผลงานที่หลากหลาย (บ้างก็บอกว่าเขียนเอง บางคนบอกไม่ได้เขียนเองทั้งหมด บางคนบอกไม่เขียนเองเลย) ซึ่งผลของการทำงานสมองชี้แจงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้มี error ในการประเมินตนเอง
.
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ หากอ้างอิงจากการเขียนเรียงความครั้งที่ 4 (ที่สมัครใจเขียน) กลุ่มที่เคยเขียนงานด้วย ChatGPT ที่ต้องกลับมาใช้ความสามารถของตัวเองแบบไม่ใช้เทคโนโลยีเลย ถึงแม้พวกเขาจะมีการทำงานของสมองโดยรวมที่เพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายผลงานก็แย่กว่ากลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยที่ใช้ความสามารถของตนเองโดยปราศจาก AI ในการช่วยเหลือในงานเขียนครั้งที่ 2 และยังไม่สามารถพัฒนา pathway การทำงานของสมองในเรื่องการทำความเข้าใจ จดจำ และกู้คืนข้อมูลเทียบเท่ากับผู้เข้าร่วมวิจัยที่ใช้ศักยภาพตัวเองล้วนในการเขียนงานครั้งที่ 3 อยู่ดี สิ่งนี้อาจแปลว่าผลกระทบจากการใช้ ChatGPT อาจส่งผลต่อการบวนการคิดวิเคราะห์แยกแยะ ความใส่ใจ และความจำของเราได้จริง ๆ
.
#ผลวิจัยจากคนที่ไม่ใช้ ChatGPT
ในทางกลับกัน ผลจากการวิจัยในกลุ่มที่ไม่ใช้เทคโนโลยีในการเขียนเลยก็เป็นไปตามคาด คือพบว่ามีการทำงานของสมองที่เกี่ยวกับ dDTF และมีการทำงานโคกับสมองพาร์ทอื่น ๆ มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสมองส่วนหลัง ส่วนข้าง หรือส่วนหน้า โดยเฉพาะคลื่นสมองและส่วนของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสรรสร้างไอเดียด้วยตัวเอง รวมไปถึงสมองส่วนการสร้างความหมาย และความสามารถในการจดจำและเรียกกู้คืนข้อมูล ส่วนสำหรับในกลุ่มที่ใช้ Search Engine อื่น ๆ ยังมีการทำงานของสมองส่วน dDTF ที่มากกว่าการใช้ ChatGPT โดยพบว่ามีการใช้สมองส่วนการมองเห็นค่อนข้างเยอะ หรือแปลผลได้ว่าผู้เข้าร่วมวิจัยกลุ่มนี้ใช้กระบวน scanning และ skimming ข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิภาพของข้อมูลนำไปวิเคราะห์ประกอบการเขียนเรียงความอย่างใส่ใจ
.
ในพาร์ทของการสัมภาษณ์ แม้ว่าในการเขียนครั้งแรกอาจมีคนไม่สามารถอธิบายหรือจำถึงงานเขียนของตนเองได้บ้าง แต่สุดท้ายทั้งสองกลุ่มก็สามารถจำและอธิบายงานเขียนของตัวเองได้เกือบหมดและทำได้ perfect เลยในครั้งที่ 2 และ 3 โดยกลุ่มที่เขียนงานเองมี pathway การทำงานนี้เยอะกว่ากลุ่มที่ใช้ search engine หน่อยสื่อให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมวิจัยสองกลุ่มนี้ทำงานด้วยความตั้งใจและเข้าใจผลงานตัวเองจริง ๆ จนมันเข้าไปในเนื้อในตัวและสามารถกู้คืนข้อมูลกลับมาใช้ได้แทบจะ 100% โดยเฉพาะกับกลุ่มที่เขียนงานเอง แถมทั้งสองกลุ่มรีพอร์ตการมีความรู้สึกเป็นเจ้าของผลงานที่ใกล้เคียงกัน โดยกลุ่มที่เขียนเองไม่ใช้ AI เลยรู้สึกเคลมได้ว่างานเขียนเป็นของตัวเองทั้งหมด 100% ส่วนกลุ่มที่ใช้ Search engine เคลมว่ามีความเป็นเจ้าของผลงานเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 70-90%
.
มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มกลัว ChatGPT กันแล้วเหมือนกัน เพราะไม่ใช่แค่มันจะ effect กับลูกของเรา แต่รวมถึงเราในฐานะผู้ใหญ่ด้วย เพราะดูเหมือนถ้าพูดภาษาบ้าน ๆ คือ ‘เหมือนยิ่งใช้แล้วยิ่งโง่เลย’
.
อย่าไรก็ตาม ผลการวิจัยของอาสาสมัครกลุ่มที่เขียนงานเองแล้วมาร่วมเขียนงานใหม่ในครั้งที่ 4 จากที่เคยเขียนเองมาก่อนมาสู่การใช้เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือ Search Engine อื่น ๆ ช่วยเขียน งานวิจัยพบว่ากลุ่มคนพวกนี้มีการทำงานของสมองและรูปแบบของคลื่นสมองต่าง ๆ ที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงผู้เข้าร่วมวิจัยสามารถจดจำและกู้คืนได้เร็วกว่าเมื่อมี AI ช่วยเขียนงานที่เคยทำมาแล้ว
.
เพราะฉะนั้น หากจะสรุปเพื่อตอบคำถามข้างต้นว่าใช้ ChatGPT อันตรายไหม? คำตอบจากมุมมอง #คุณนายข้าวกล่อง คือ
อาจอันตรายจริงหากเราใช้มันให้ ‘ทำให้เลย’ แต่ไม่ได้อันตราย (และดูมีประโยชน์กับเราด้วยซ้ำ) หากเราใช้มันเป็นเป็นเพียงแค่ ‘ตัวช่วยในการทำงาน’
แล้วถ้าพูดถึงในบริบทของการเรียนหนังสือ การทำการบ้าน (โดยเฉพาะการเขียน) ที่มีจุดประสงค์เป้าหมายเพื่อฝึกให้สมองได้ cooperate ทำงานร่วมกันในหลาย ๆ ส่วน มันก็ดูอันตรายเหมือนกันหากพวกเขาใช้มันให้ ‘ทำไปเลย’ แบบที่ไม่ได้มีการใช้ความสามารถของตัวเองในการลองทำ เพราะการไม่ได้ฝึกใช้บ่อย ๆ ก็ทำให้สมองไม่ได้ไม่ได้สร้าง pathway เพื่อ connect การทำงานระหว่างการที่แข็งแรง ทำให้พัฒนากลายเป็นความเคยชินหรือความชำนาญช่ำชองได้ยาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อ performance การทำงาน (หรือการบ้าน) ที่ไม่ได้ดีเท่าไหร่เช่นกัน
‘ทักษะเป็นเรื่องของการฝึกฝน’ – quote นี้เลยดูไม่เกินจริงเลย
.
ในทางกลับกัน หากพวกเรามีรากฐานของการฝึกการทำงานร่วมกันของสมองทุกภาคส่วนประมาณหนึ่งแล้ว เราอาจมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่มากพอที่จะรู้ว่า ‘ควรใช้ AI เพื่อช่วยเราให้ทำงานดีขึ้นยังไง’ ซึ่งด้วยความที่ AI สามารถช่วยเราได้ในทุกเรื่องอยู่แล้ว (แค่บอกมาก็ช่วยได้) การนำ AI มาช่วยเติมเต็มในจุดที่เราบกพร่องก็คงเข้าใจได้ที่จะทำให้เราสามารถทำงานได้ดีขึ้น หรือถ้าอยากจะให้ AI มาช่วยในเรื่องของการเรียกคืนความจำที่เร็วขึ้น ก็ดูจะเป็นประโยชน์ที่น่าจะนำประยุกต์ใช้กับเราต่อไป
.
และเพราะสิ่งที่สำคัญในการเขียนไม่ใช่เป็นเรื่องของความถูกต้องในการใช้ภาษาเขียนอย่างเดียว แต่มันคือการเขียนเพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ หรือจุดยืนทางความคิดบางอย่างที่เราต้องการแสดงออกไป เพื่อสร้างความหมายกับสิ่งที่เราทำว่ามันมีคุณค่าสำหรับเรา (และโลก) แค่ไหน ซึ่งของแบบนี้มันก็ไม่เคยมีถูกและผิดในตัวเองอยู่แล้ว ????
.
แต่ถึงแม้เราจะรู้แล้วเราควรใช้ ChatGPT อย่างไรในการทำการบ้าน (หรือการทำงาน) มันก็พูดยากอยู่ดีที่เราจะสื่อสารให้ลูกเข้าใจและไม่ต่อต้าน ซึ่งหากผู้ปกครองท่านใดสนใจที่จะศึกษาวิธีการสื่อสารนี้เพิ่มเติม สามารถเข้ามาดูได้ฟรีเลยที่ www.netpama.com
.
อ้างอิง
Kosmyna, N., Hauptmann, E., Yuan, Y. T., Situ, J., Liao, X. H., Beresnitzky, A. V., ... & Maes, P.
(2025). Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task (Version 1). arXiv. https://doi.org/10.48550/arXiv.2506.08872
https://www.youtube.com/watch?v=XKgM-tlptJA
https://time.com/7295195/ai-chatgpt-google-learning-school/
https://share.google/rsXM57n7C3T5blrO2

#NetPAMA #4ปีเน็ตป๊าม้า #จากผู้เรียนสู่ผู้สร้าง #ChatGPT
หมวดหมู่ทั้งหมด

NET PAMA